Weekly Energy Sector (18 ก.ย.62)

Weekly Energy Sector (18 ก.ย.62)

โรงกลั่นไทยจะได้อานิสงส์จากกรณีโดรนถล่มโรงนํ้ามันซาอุ

Event

โรงน้ำมันสองแห่งของซาอุดิอาระเบีย Abqaiq และ Khurais ถูกฝูงโดรนของกลุ่มกบฎ Houthi ในเยเมนซึ่งมีความเชื่อมโยงกับอิหร่านบินถล่มเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา

Impact

โรงงาน Abqaiq เริ่มกลับมาทำการผลิตได้บางส่วนแล้ว

หลังเกิดเหตุฝูงโดรนถล่มโรงน้ำมัน ซาอุดิอาระเบียจึงลดการผลิตน้ำมันดิบลง 5.7MBD หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งประเทศ ซึ่งเท่ากับ 5% ของอุปทานน้ำมันโลก แต่อย่างไรก็ตาม CEO ของ Aramco บอกว่าโรงน้ำมัน Abqaiq ได้กลับมาเริ่มทำการผลิตแล้ว โดยในขณะนี้ทำการผลิตอยู่ที่ประมาณ 2.0MBD คิดเป็น 40% ของระดับการผลิตก่อนถูกโจมตีที่ประมาณ 4.9MBD ซึ่งข้อมูลนี้ดึงให้ราคาน้ำมันดิบลดลง US$4-5/bbl แต่อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะยืนเหนือ US$60/bbl เนื่องจากยังต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะฟื้นตัวเต็มกำลังการผลิตจากกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งนี้รัฐมนตรีพลังงานของซาอุดิอาระเบียมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 9.8MBD ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับเดียวกับก่อนที่เกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้ และยังคาดว่า facilities ต่างๆ จะกลับมาพร้อมเต็มกำลังการผลิตที่ 12.0MBD ในเดือนพฤศจิกายน

การที่น้ำมันขาดแคลนจะส่งผลดีกับโรงกลั่นและผู้ผลิตโอเลฟินส์

ซาอุดิอาระเบียยืนยันว่าการส่งออกน้ำมันดิบจะไม่ลดลงในเดือนนี้ เนื่องจากจะถอนน้ำมันสำรอง (strategic reserves) ออกมาใช้ นอกจากนี้ ประเทศซาอุดิอาระเบียก็จะลดอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในประเทศลงประมาณ 1.0MBD เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบสำหรับการส่งออก (Figure 2) โดยอัตราการผลิตที่ลดลงจะมาจากโรงกลั่น Samref กำลังการผลิต 400KBD, Petro Rabigh กำลังการผลิต 400KBD, Sasref กำลังการผลิต 305KBD และ Ras Tanura refinery กำลังการผลิต 550KBD นอกจากนี้
Tom Hus นักวิเคราะห์พลังงานระดับภูมิภาคของ KGI ที่ไต้หวันยังบอกอีกว่าเนื่องจากซาอุดิอาระเบียผลิต ethylene-PE ประมาณ 9-10% ของกำลังการผลิตทั้งโลก, MEG ประมาณ 19% ของกำลังการผลิตทั้งโลก, และ propylene-PP ประมาณ 6-7% ของกำลังการผลิตทั้งโลก (Figure 3) ดังนั้นอุปทานของ ethylene-PE, MEG และ propylene-PP จึงน่าจะถูกกระทบหนักที่สุดจากปัญหาขาดแคลน feedstock น้ำมันดิบในประเทศซาอุดิอาระเบีย

Valuation and action

เราเชื่อว่าข่าวล่าสุดเกี่ยวกับอัตราการกลั่นที่ลดลงของโรงกลั่นของซาอุดิอาระเบียจะช่วยหนุนให้ค่าการกลั่น (GRM) และ spread ของ olefins เพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ดังนั้น เราจึงยังคงเลือก Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* และ IRPC (IRPC.BK/IRPC TB)* เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจาก GRM เพิ่มขึ้นหลังจากการขาดแคลน feedstock น้ำมันดิบสำหรับโรงกลั่นในซาอุดิอาระเบีย นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร PTT Exploration and Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* จากราคาน้ำมันดิบที่สูง และ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC TB) จากการที่ spread ของ olefins เพิ่มขึ้นในระยะสั้นหลังเหตุฝูงโดรนถล่มโรงน้ำมันที่ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจากกรณีที่เกิดขึ้น เราเรียงลำดับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน ดังนี้ TOP, IRPC, PTTEP และ PTTGC ในขณะเดียวกันโรงกลั่นอีกสามแห่งคือ Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO TB)* และ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* ก็น่าจะได้อานิสงส์จาก GRM ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม
เราแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นสามตัวนี้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากทั้งสามบริษัทมีแผนจะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นใน 2H62 โดย BCP จะปิด 30 วันในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม (เพื่อซ่อมบำรุง hydrocracking unit), ESSO จะปิด 60 วันในเดือนกันยายน - ตุลาคม และ SPRC จะปิด 45 วันในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม