คลายกังวลอุปทานน้ำมัน

คลายกังวลอุปทานน้ำมัน

รอซื้อเล่นรีบาวด์ช่วงอ่อนตัว

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปิดบวกเล็กน้อย +1.00 จุด (+0.06%) ปิดที่ระดับ 1,664 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.3 หมื่นล้านบาท จากแรงซื้อกลุ่มพลังงานและปิโตรที่ได้อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่งของซาอุฯถูกโจมตี อย่างไรก็ตามดัชนีปิดบวกเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมีแรงขายลดความเสี่ยงเพื่อรอผลการประชุม Fed รวมถึงคำวินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯในวันที่ 18 ก.ย. ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 886 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 10,038 สัญญา รวมถึงเป็นฝั่งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 5,547 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบคาด SET อ่อนตัวลงทดสอบ 1,660 จุด จากราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงหลังซาอุฯเผยว่าจะกลับมาผลิตน้ำมันโดยสมบูรณ์ภายในสิ้นเดือนก.ย.ส่งผลให้คลายความกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัว ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานรวมถึงทิศทางตลาด อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะสามารถสลับรีบาวด์ในช่วงอ่อนตัวได้จากความคาดหวัง FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 2% ในการประชุมวันที่ 17 – 18 ก.ย. รวมถึง Sentiment เชิงบวกกลุ่มธนาคารประเด็นธปท.อนุมัติให้ธนาคารนำสำรองฯส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้หรือกำไรได้โดยเริ่มมีผล 1Q63 หลัง TFRS9 มีผลบังคับใช้ จึงแนะนำ รอซื้อเล่นรีบาวด์ช่วงอ่อนตัว

 ** วันนี้ 18 ก.ย. ติดตามศาลรธน.วินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, KBANK, SCB) ธปท.อนุมัติให้ธนาคารนำสำรองฯส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้หรือกำไรได้
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TPCH, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • GFPT (ปิด 17.2 ซื้อ /เป้า 21 บาท) ได้ผลบวกจากข่าวพบการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์หมู (ASF) ในจังหวัดเชียงราย คาดประชาชนหันไปบริโภคเนื้อไก่เพื่อเป็นการทดแทน โดย GFPT มีสัดส่วนรายได้จากไก่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องคิดเป็น 80% ของรายได้รวม ล่าสุดราคาขายไก่ในประเทศเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 37 บาทต่อก.ก.เพิ่มขึ้น 4% จาก 2Q19 และเพิ่มขึ้น 10-15%yoy
  • THANI (ปิด 7.15 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 8.5 บาท) คาดกำไรสุทธิ 3Q19 ยังโตต่อเนื่องจากยอดสินเชื่อที่ยังขยายตัว อีกทั้งยังมีโอกาสกลับรายการสำรองเข้ามาเป็นกำไรเพิ่มเติมเนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทตั้งสำรองไว้เกินกว่าที่เกณฑ์ของแบงก์ชาติกำหนดไว้ ขณะที่ปีหน้าคาดต้นทุนดอกเบี้ยลดลง เพราะมีหุ้นกู้ครบกำหนดรวมกว่า 14,000 ล้านบาท จึงได้ประโยชน์โดยตรงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง

บทวิเคราะห์วันนี้

Thailand Strategy (ถ้านี่คือบทสรุปของสงครามการค้า)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน – ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงหลุด 60 ดอลลาร์ต่อบาร์รเล หลังซาอุฯระบุการผลิตน้ำมันดิบจะกลับสู่ภาวะปกติภายในสิ้นเดือนนี้: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 3.56 ดอลลาร์ (-5.7%) ปิดที่ 59.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะอุปทานตึงตัว จาก 1) ซาอุฯประกาศนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้เพื่อรักษาระดับอุปทานให้เพียงพอกับความต้องการ และ 2) ซาอุฯมั่นใจว่าแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ได้รับความเสียหายจากเหตุโจมตีในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะสามารถกลับมาผลิตในระดับปกติได้ภายในสิ้นเดือนนี้ โดยปัจจุบันสามารถฟื้นการผลิตได้ราว 50% จากที่ขาดหายไปหลังการโจมตีแล้ว การลดลงของราคาน้ำมันจะเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นที่ได้ผลบวกในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะ PTTEP
  • (-) กลุ่มสินค้าเกษตร – มี Sentiment ลบจากข่าวพบโรคอหิวาต์หมู (ASF) ระบาดที่จังหวัดเชียงราย: วานนี้ราคาหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรโดยเฉพาะหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากการเลี้ยงหมูและแปรรูปหมู อาทิ CPF และ TFG ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทจะได้รับผลกระทบจากราคาหมูที่ลดลง หลังจากมีกระแสข่าวพบการระบาดของโรคอหิวาต์หมู (ASF) ที่จังหวัดเชียงรายและปัจจุบันได้มีการฆ่าทำลายหมูที่ป่วยตายไปแล้วกว่า 200 ตัว ระยะสั้นกระแสข่าวลือจะทำให้ประชาชนลดการบริโภคหมู กดดันราคาขายในประเทศ เป็นลบต่อ CPF, TFG แต่จะเป็นบวกต่อ ผู้ผลิตไก่ (GFPT) เนื่องจากประชาชนจะหันไปบริโภคไก่แทน แต่ระยะกลางถึงยาวคาดราคาหมูจะกลับมาสูงขึ้นจาก Supply ที่ลดลงจากการฆ่าทำลายและลดการเพาะเลี้ยงซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อ CPF และ TFG ซึ่งเป็นระบบฟาร์มปิดดังนั้นราคาหุ้นที่ลดลงของ CPF TFG จึงเป็นโอกาสทยอยซื้อ
  • (+) กลุ่มรับเหมาฯ - ครม.เศรษฐกิจเตรียมเสนอ โครงการเมกะโปร์เจกต์ และโครงการค้างท่อ เข้าที่ประชุม 20 ก.ย.นี้: นาย กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาฯนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ครม.เศรษฐกิจจะมีการประชุมในวาระของกระทรวงคมนาคมเป็นหลัก โดยเฉพาะการเร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ยังล่าช้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการเมกะโปร์เจกต์ อาทิ งานก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสีต่างๆ รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และ มอร์เตอร์เวย์ นับเป็นข่าวดีโดยตรงต่อกลุ่มรับเหมาเนื่องจากปัจจุบันมีงานขนาดใหญ่จากภาครัฐออกมาประมูลค่อนข้างน้อยเนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและอยู่ในช่วงต้นของรัฐบาลชุดใหม่ โดยกลุ่มรับเหมาเรายังเลือก CK, STEC และ SEAFCO เป็น Top pick ของกลุ่ม