อินโนสเปซ ไทยแลนด์” มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่รัฐบาลก่อนที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์มในการสร้างผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ สตาร์ทอัพ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมจัดให้มีการลงนามความร่วมมือด้านการลงทุนของบริษัทรายใหญ่และธนาคารรวม 13 ราย เพื่อร่วมขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาสตาร์ทอัพ
โครงการนี้ตั้งอยู่ที่สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องเมืองอัจฉริยะรองรับ Innovation Platform จึงจะช่วยให้เกิดแหล่งรวมของเทคโนโลยี งานวิจัย นักลงทุน และสตาร์ทอัพ ที่มีศักยภาพ ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงโครงการในไทยกับพื้นที่ Greater Bay Area ของจีนทำให้สตาร์ทอัพไทยมีโอกาสพัฒนาในระดับนานาชาติได้
อรพิมพ์ เหลืองอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอมสไปร์ จำกัด บริษัทผู้บ่มเพราะสตาร์ทอัพและเชื่อมโยงไปสู่บริษัทขนาดใหญ่ กล่าวว่า การที่รัฐบาลตั้ง บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้มีหน่วยงานมาส่งเสริมสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้น ช่วยขยายระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพให้ใหญ่ขึ้น แต่สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การประสานงานของหน่วยงานที่ส่งเสริมสตาร์อัพทั้งภาครัฐและเอกชนให้ทำงานร่วมกัน
“ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานพยายามทำอีโคซิสเทมของตัวเองต่างคนต่างทำยังไม่ค่อยเห็นความร่วมมือกัน หากทุกฝ่ายปรับแนวทางการทำงานให้เชื่อมโยงกัน จะทำให้การพัฒนาสตาร์ทอัพรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ทั้งนี้ สิ่งที่ภาครัฐควรทำนอกจากการบ่งเพาะสตาร์ทอัพแล้ว ต้องส่งเสริมให้สตาร์ทอัพเหล่านี้มีความเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งที่ผ่านมีหลายหน่วยงานร่วมกันบ่มเพาะจนเกิดสตาร์อัพใหม่ แต่ไม่ได้พัฒนาการเป็นผู้ประกอบการทำให้แนวคิดธุรกิจที่ดีไม่สามารถต่อยอดไปสู่การเป็นธุรกิจที่เข้มแข็งได้
สตาร์ทอัพไทยส่วนใหญ่ยังขาดหัวใจของการเป็นผู้ประกอบการมาก ต่างจากสตาร์ทอัพของสิงคโปร์และฮ่องกง ที่มีพื้นฐานในเรื่องการเป็นผู้ประกอบการสูงมาก บวกกับการที่รัฐบาลสร้างอีโคซิสเทมที่ดี ทำให้เกิดสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก
จุดสำคัญของการสร้างสตาร์ทอัพไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องมุมมองทางธุรกิจมากกว่า เพราะสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากในช่วงแรกเทคโนโลยีอาจไม่สูงมากนัก แต่มีแนวคิดธุรกิจที่ดี เมื่อธุรกิจเดินหน้าไปได้ก็นำเงินมาลงทุนด้านเทคโนโลยีทีหลัง ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและขยายวงกว้าง เช่น ลาซาด้า ในช่วงแรกไม่ได้เน้นเทคโนโลยีแต่เน้นในเรื่องโมเดลธุรกิจที่แปลงใหม่ตอบโจทย์ลูกค้า พอขยายตัวก็เพิ่มการลงทุนด้านเทคโนโลยี
ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ ทั้งฮ่องกง เกาหลีใต้ อิสราเอล และประเทศต่างๆ ในอนาคตของ บริษัท อินโนสเปช (ประเทศไทย) จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพของไทยเปิดตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะหากปล่อยให้สตาร์ทอัพเป็นผู้บุกตลาดต่างประเทศเองจะเป็นเรื่องยากมาก
ส่วนเงินลงขันของภาคเอกชนที่มี 515 ล้านบาทในขณะนี้ มองว่าเป็นจำนวนที่ไม่มาก ควรกำหนดเป้าหมายการช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจงในบางกลุ่ม หรือช่วยให้ตรงกับความต้องการในแต่ละระยะของสตาร์ทอัพ เช่น กลุ่มที่พึ่งเริ่มต้นต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินในบางส่วน กลุ่มที่โตแล้วเริ่มทำธุรกิจ ก็ต้องการให้พาไปเปิดตลาดในต่างประเทศ เป็นต้น
สำหรับการนำสตาร์ทอัพไปเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ ควรจะเลือกประเทศที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด เช่น ความร่วมมือกับสตาร์ทอัพอินโดนีเซียเพื่อเจาะตลาดอินโดนีเซีย จะทำให้ยกระดับสตาร์ทอัพไทยไปสู่ระดับยูนิคอน (มูลค่าธุรกิจเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์) เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งการที่สตาร์ทอัพเติบโตเพียงในประเทศไทยจะไปสู่ยูนิคอนยากเพราะตลาดมีขนาดเล็ก
นอกจากนี้ วงการสตาร์ทอัพของไทยก็ได้ปรับเปลี่ยนไป จากเดิมเมื่อ 2-3 ปีก่อน กลุ่มเด็กที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยเข้ามาตั้งสตาร์ทอัพกันเยอะมาก เพราะมีไอเดียทางธุรกิจใหม่ มีความกระตือรือร้นอย่างเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีกลุ่มอดีตพนักงานบริษัทเข้ามาตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพมากขึ้น ซึ่งจะได้เปรียบกว่ากลุ่มที่พึ่งจบการศึกษาในเรื่องของประสบการณ์การทำงาน และมีความรู้ด้านเทคโนโลยีพอสมควร
ทำให้ไปได้เร็วกว่าในอดีตมีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่ก็มีจุดอ่อนในเรื่องของความระมัดระวังที่มีมากเกินไปจนเกิดกำแพงขวางกันในการร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งความร่วมมือนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะสตาร์ทอัพไม่สามารถโตอย่างโดดเดี่ยวได้ทำให้ปิดโอกาสในการเติบโต ต่างจากสตาร์ทอัพที่เป็นเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำให้เปิดรับความร่วมมือได้ง่าย
ส่วนรูปแบบธุรกิจก็เปลี่ยนไป ในอดีตสตาร์ทอัพที่เป็นมาร์เก็ตเพลสเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ในปัจจุบันเริ่มเห็นสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพิ่มมากขึ้นตามแนวทางสตาร์ทอัพของโลก รวมทั้งมีองค์กรขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนในเรื่องของเงินทุน ห้องทดลอง ทำให้เดินหน้าได้เร็ว ซึ่งในปี 2562 มีสตาร์ทอัพที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และระบบไอโอทีมาใช้กับเทคโนโลยีที่มีอยู่มากขึ้น 20-30% เมื่อเทียบกับปี 2560
รวมทั้งมองว่ารัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอมากนัก และไม่มีนโยบายที่ชัดเจนทำให้เดินหน้าไปได้ช้าแม้ว่าภาคเอกชนจะมีเทคโนโลยีด้านนี้ เพราะหัวใจของระบบเอไอ คือ บิ๊กดาต้า หรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่จึงจะมีความแม่นยำ ซึ่งภาครัฐมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุด ถ้าหากรัฐนำฐานข้อมูลมาให้เอกชนใช้โดยการพัฒนาระบบจัดเก็บให้สตาร์ทอัพเข้าถึงง่าย อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ จะทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเอไอเดินหน้าได้เร็วขึ้น
“ขณะนี้ภาครัฐยังเก็บข้อมูลไม่เป็นระบบ ดังนั้นรัฐบาลควรจะตั้งหน่วยงานกลางบูรณาการด้านข้อมูล แยกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน จะทำให้นำข้อมูลไปใช้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากมีข้อมูลให้เอกชนมากขึ้นก็จะยิ่งช่วยพัฒนาบุคลากรด้านเอไอได้มากขึ้นตามไปด้วย”
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-4 เมกะเทรนด์..อสังหาฯ ยุคเปลี่ยนโครงสร้างรับมือแข่งเดือด
-อสังหาฯมาเลย์-ไทยส้มหล่นจากเหตุประท้วงฮ่องกง
-อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน - CEO Blogs
-เดิมพันอสังหาฯแสนล้าน ลดยาแรง LTV