ล้วงกระเป๋า 'เศรษฐี' ! แผนลับ 'เดนทัล คอร์ปอเรชั่น'

ล้วงกระเป๋า 'เศรษฐี' ! แผนลับ 'เดนทัล คอร์ปอเรชั่น'

กำลังซื้อเศรษฐีไม่เคยตก...! แม้เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี 'หมอพรศักดิ์ ตันตาปกุล' นายใหญ่ 'เดนทัล คอร์ปอเรชั่น' ผุดโรงพยาบาลทันตกรรมสุขุมวิท เสิร์ฟกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอ็น ขึ้นแท่น 'เรือธงใหม่' หวังผลักดัน 'กำไร' เติบโต

'เศรษฐกิจโลกชะลอตัว' และ 'ค่าเงินบาทแข็ง' กระทบรายได้จาก 'ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์' (เมดิคัล ทัวริซึ่ม) !! ประกอบกับชะลอแผนการขาย 'หุ้นเพิ่มทุน' เนื่องจากราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับภาวะตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย

ถือเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่ 'กำไรสุทธิ' ลดลงต่ำกว่าปกติของ บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น หรือ D ผู้ให้บริการทางทันตกรรมแบบครบวงจร โดยปี 2560 มีกำไรสุทธิ 46.11 ล้านบาท ปี 2561 กำไรสุทธิ 33.46 ล้านบาท และล่าสุดไตรมาส 2 ปี 2562 กำไรสุทธิเหลืออยู่ที่ 8.13 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากภาระดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมาก

แม้ฐานะการเงินขององค์กรแห่งนี้จะยัง 'ไม่สดใส' แถมราคาหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด บวกกับโอกาสฟื้นตัวของธุรกิจยังพอมีให้เห็น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมายังคงมีเหล่า 'นักลงทุนรายใหญ่' คงถือครองหุ้น D อย่างต่อเนื่อง อย่าง 'ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา' จำนวน 7,205,500 หุ้น คิดเป็น 3.60% 'โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง' จำนวน2,015,000 หุ้น คิดเป็น 1.01% 'คเชนทร์ เบญจกุล' จำนวน 1,621,900 หุ้น คิดเป็น 0.81%

'ทันตแพทย์พรศักดิ์ ตันตาปกุล' ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น หรือ D เล่าสตอรี่สำคัญที่จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานพลิกฟื้นให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเปิดดำเนินการ 'โรงพยาบาลทันตกรรมกรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล สุขุมวิท ซอย 2' (BIDH) ถือเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งแรกที่มีการรักษาเต็มรูปแบบของโรงพยาบาลทันตกรรม (ฟัน) ดังนั้น ในปี 2563 โรงพยาบาลฟันสุขุมวิทจะเป็นขึ้นแท่นเป็น 'เรือธง' หลักในการสร้างทั้ง 'รายได้และกำไร' อีกแห่งหนึ่งของบริษัท !!

ก่อนแจกแจงแผนธุรกิจ 'หมอพรศักดิ์' บอกว่า เริ่มเห็นเทรนด์เมดิคัล ทัวริซึ่ม ว่า มีแนวโน้มจะ 'ลดลง' ตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีก่อน หนึ่งในเหตุผลคือ 'เงินบาทแข็ง' ขึ้นทุกปี !! สะท้อนจากบริษัททำธุรกิจมาตั้งแต่เงินบาทอยู่ที่ 58 บาท ทว่าปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแตะ 30 บาทแล้ว เมื่อทิศทางค่าเงินบาทเป็นเช่นนั้น บริษัทจึง 'แก้ปัญหา' ดังกล่าวด้วยการลงทุนครั้งใหญ่โรงพยาบาลฟังสุขุมวิท งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท

สะท้อนผ่านการนำ 'เดนทัล คอร์ปอเรชั่น' เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อนำเงินระดมทุนมาลงทุนก่อสร้างโรงพยาบาลฟันสุขุมวิททันที ถือเป็นการแก้โจทย์รายได้จากลูกค้าต่างชาติลดลง เนื่องจากเงินบาทแข็ง รวมทั้งการจับกลุ่มลูกค้าฐานใหม่ทั้งคนไทยและต่างชาติ นั่นคือ 'กลุ่มคนรวยที่อาศัยอยู่ย่านสุขุมวิท' ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหนก็เป็นกลุ่มที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตลอด

ทั้งนี้ สัดส่วนพอร์ตคนไข้ของบริษัทจะพลิกจาก เมดิคัล ทัวริซึ่ม มาเป็นกลุ่มคนไข้เศรษฐีไทย โดยสูตรธุรกิจที่บริษัทตั้งไว้คือ ต้องอยู่ได้โดยไม่พึ่งพา เมดิคัล ทัวริซึ่ม เพราะว่าเมดิคัล ทัวริซึ่มจะกลับมาเติบโตมากเช่นในอดีต 'ค่ารักษา' ในเมืองไทยต้องถูกกว่าต่างประเทศมาก โดยเฉพาะค่าเงินบาทต้องไม่แข็งเช่นตอนนี้ ซึ่งเมดิคัล ทัวริซึ่ม จะพลิกกลับเพราะว่าค่ารักษาถูกกว่า ซึ่งตอนนี้บริษัทไปหาตลาดคนไข้ เมดิคัล ทัวริซึ่ม ในกลุ่มคนไข้ CLM เพราะว่ามาตรฐานการรักษาดีกว่าประเทศเขา

'ที่ผ่านมา 14 ปี เราเอ็นจอยกลับกลุ่มลูกค้าเมดิคัล ทัวริซึ่ม สัดส่วน70-80% คนไทย 20-30% ซึ่งเราตั้งโจทย์ลดสัดส่วนลูกค้าต่างชาติและคนไทยให้เป็น 50:50 เพราะว่าต้องการกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพาลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากเรามองเห็นทิศทางเมดิคัล ทัวริซึ่ม เจอค่าเงินแข็งไปเรื่องๆ ทำให้การแข่งขันก็จะยากมากขึ้น ดังนั้นหากมีฐานคนไทย 50% ก็จะกระช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้บ้าง' 

โดยในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้จากโรงพยาบาลฟันสุขุมวิท 'ราว 35 ล้านบาท' และในปี 2563 คาดว่าจะรับรู้รายได้ 'ราว100-120 ล้านบาท' ซึ่งบริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ 'ชาวต่างชาติ และคนไทย' ที่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นในย่านถนนสุขุมวิท สาทร สีลม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมีความพร้อมที่จะเข้ามาใช้บริการต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันโรงพยาบาลฟันสุขุมวิท มีบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล ครบวงจร และราคาค่าบริการอยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงน่าจะได้รับความสนใจ ซึ่งในแผนธุรกิจของบริษัทต้องการมีสัดส่วนลูกค้าระดับกลางถึงบนที่เป็นคนไทยที่โรงพยาบาลฟันสุขุมวิทอยู่ที่ 50% และต่างชาติ 50% โดยเป้าหมายต้องการให้ลูกค้าที่มารับการรักษาฟันที่โรงพยาบาลฟันสุขุมวิทแล้วกล้าที่จะ 'เช็คอิน' (Check in) บอกเพื่อนๆ ได้ว่ามารักษาฟันที่โรงพยาบาลฟันสุขุมวิท

'เราพยายามแก้โจทย์แนวโน้มเงินบาทแข็งต่อเนื่องด้วยการลดความเป็นเมดิคัล ทัวริซึ่ม แต่เราไม่ได้จะเลิกทำแต่เราจะลดการพึ่งพาเท่านั้น เพราะฉะนั้น เรามองว่าโรงพยาบาลสุขุมวิทเราสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการให้คนไทยมาใช้บริการ เรามองมุมที่ว่าเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางที่เป็นผู้นำ'

'หุ้นใหญ่D' บอกต่อว่า ปัจจุบันเริ่มมีคนไข้ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ทยอยเข้ามาสอบถาม จองคิวการเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลฟันแล้ว แม้คนไข้ยังไม่มาก แต่สิ่งที่ได้คือกลุ่มคนไข้ตรงเป้าหมาย โดยกลุ่มคนไข้ที่ “แตกต่าง” จากแบรนด์ BIDC คือ 'กลุ่มลูกค้า CLM' (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ที่มีเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านสุขุมวิท เนื่องจากเดินทางมารักษาโรคทั่วไปที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเป้าหมายของบริษัทต้องการให้ลูกค้ามารักษาฟันที่โรงพยาบาลฟันสุขุมวิทต่อ

'กลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง' เป็นกลุ่มที่ D ไม่เคยทำการตลาดเข้าไปมาก่อน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนในการทำการตลาดกลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้ โดยตัวแทนจะได้สัญญามาจากรัฐบาลกลุ่มตะวันออกกลาง 4 ประเทศร่ำรวย (ซาอุดิอาระเบีย คูเวต UAE การ์ตา) พามาทำการรักษาโรคทั่วไปที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และหากต้องการรักษาฟันตัวแทนจะพามารักษาที่โรงพยาบาลฟันสุขุมวิท โดยบริษัทเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนไข้มารักษากับบริษัทแล้วราว 10 ราย !!

อย่างไรก็ตาม ตามแผนงานที่วางไว้ในปีหน้าโรงพยาบาลฟันสุขุมวิทจะเปิดจำนวนห้องเพิ่มขึ้น เป็น 22 ห้อง และในปีถัดไปจะเปิดบริการเป็น 33 ห้อง ดังนั้นอนาคตโรงพยาบาลฟันสุขุมวิทจะเป็นเรือธงหลักในการสร้างรายได้และกำไรอีกแห่งหนึ่ง

'ปัจจุบัน BIDC เป็นเรือธงความสำเร็จของเรามาตลอด เพราะว่ามีรายได้ปีละ 20 ล้านบาท แต่ปีหน้าตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท หลังคาดว่าโรงพยาบาลฟันสุขุมวิทจะส่งกำไรเข้ามาได้ จากปีนี้เราตั้งโจทย์ว่าโรงพยาบาลฟันจะไม่ขาดทุน'

นอกจากนี้ เขาบอกต่อว่า กำลังลงทุนก่อสร้างเป็น 'ศูนย์ทันตกรรมจังหวัดเชียงใหม่' ภายใต้ 'แบรนด์ CIDC' โดยมีพื้นที่ค่อยข้างใหญ่ แต่เบื้องต้นพัฒนาเฟสแรกเป็น 'คลีนิกทันตกรรม' ก่อนภายในเดือน ก.ย. นี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5.6 ล้านบาท และใช้เวลาคืนทุนประมาณ 4 ปีครึ่ง โดยมีเป้าหมายที่จะรุกขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม และเป็นการขยายฐานลูกค้าในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติในโซนนั้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่อยากลงทุนมาก เนื่องจากเราลงทุนโรงพยาบาลทันตกรรมสุขุมวิท 600 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา บริษัท 'หยุดการลงทุนขยายสาขาขนาดเล็ก!!' และมาโฟกัสโรงพยาบาลฟันสุขุมวิทให้เสร็จ 'ในปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เปิดสาขา เพราะเราลงทุนโรงพยาบาลฟันสุขุมวิทหนักมากแล้ว' 

ทว่า ในปีหน้าบริษัทจะกลับมาขยายสาขาใหม่ โดยตั้งเป้าไม่เกิน 4 สาขา หรือ ไตรมาสละ 1 สาขา น่าจะโฟกัสในแบรนด์ระดับสูง เพราะว่าตลาดบนเวลาเศรษฐกิจขาลงกระทบช้ากว่า ขณะที่ตลาดล่างในธุรกิจทันตกรรมตอนนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก ทั้งด้านราคา ดังนั้น บริษัทจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงไปเล่นเรื่องราคา เพราะเชื่อว่ามีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ลงมาใช้บริการในตลาดล่างนี้อีกมาก

ณ ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรมทั้งหมด 16 สาขา ซึ่งจะส่งผลให้ในปีนี้บริษัทจะมีศูนย์ทันตกรรมและคลินิกทันตกรรมทั้งหมด 17 สาขาทั่วประเทศ โดย D มีศูนย์ทันตกรรมและ ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 14 สาขา และภูเก็ต 2 สาขา ซึ่งดำเนินการภายใต้แบรนด์ 'BIDC' 1 สาขา 'Dental Signature' 4 สาขา 'Smile Signature' 8 สาขา และ 'Dental Planet' 3 สาขา

ทั้งนี้ บริษัทปรับเป้ารายได้ปีนี้ลงเหลือ 800-850 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างมาก ส่งผลให้ลูกค้าต่างประเทศปรับตัวลดลง และบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายจาก บริษัท เดนทัล วิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DVT ที่ไม่สามารถเข้าขายสินค้าให้กับภาครัฐบาลได้เต็มที่ เนื่องจากได้รับใบอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.) ล่าช้า

รวมทั้ง บริษัทเตรียมพิจารณาที่จะปรับรูปแบบของสาขาเดิม และพิจารณาปิดสาขาที่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ โดยมีทั้งหมดที่พิจารณาคือ 2-3 สาขาในปีหน้า จากสาขาทั้งหมดที่มีอยู่ 17 สาขา โดยบริษัทคาดว่าการปรับรูปแบบจะเป็นการออกมาเปิดสาขาในบริเวณนอกห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เพื่อบริหารจัดการเรื่องต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น

'ปีหน้าเรามั่นใจว่าผลประกอบการจะกลับเข้ามาสู่ระดับปกติ หรือกลับมาที่เป้าหมายเดิมอีกครั้งที่ 1,000 ล้านบาท หลังจากที่ปีนี้เราประสบปัญหาเงินบาทที่แข็งตัว และมีค่าใช้จ่ายจาก DVT ค่อนข้างมาก ซึ่งเราต้องรักษาพนักงานเดิมๆไว้ แม้ว่ายังเข้าไปขายสินค้าให้ภาครัฐไม่ได้ แต่ปีนี้เราเริ่มขายได้แล้ว หลังจากได้ อย. และเราได้มีการปรับรูปแบบสาขาให้อยู่นอกห้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้วย'

ท้ายสุด 'หมอพรศักดิ์' ทิ้งท้ายไว้ว่า ที่ผ่านมาเราไม่สามารถเพิ่มทุนสำเร็จทำให้เราต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลให้กำไรเติบโตผิดปกติ แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปีหน้าผลการดำเนินงานของบริษัทจะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว !!