‘เทรดวอร์-ฮ่องกง’ บทพิสูจน์จีน

‘เทรดวอร์-ฮ่องกง’ บทพิสูจน์จีน

สัมภาษณ์พิเศษ: หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เปิดใจกับกรุงเทพธุรกิจถึงจุดยืนของจีนต่อประเด็นปัญหาที่กำลังระอุในขณะนี้ รวมถึงสงครามการค้าและฮ่องกง

วันที่ 1 ต.ค.นี้จะเป็นวันครบรอบ 70 ปีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นปีที่จีนต้องพบศึกหนักตั้งแต่สงครามการค้าไปจนถึงการประท้วงในฮ่องกง หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เปิดใจกับกรุงเทพธุรกิจถึงจุดยืนของจีนต่อประเด็นปัญหาที่กำลังระอุ

ขึ้นชื่อว่าสงคราม ทูตหลู่ย์ เจี้ยน ย้ำว่า จะไม่มีผู้ใดชนะ สงครามการค้าครั้งนี้เป็นการกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียว และลัทธิกีดกันทางการค้าของสหรัฐ  ใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือทำลายเศรษฐกิจประเทศอื่น แม้แต่สหรัฐก็ไม่ได้รับผลดีจากการกระทำครั้งนี้ เห็นได้จากเศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสแรกเติบโต 3% ไตรมาส 2 ลดเหลือ 2.1% ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลง 

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกก็ได้รับผลกระทบรุนแรง จีดีพีโลกปี 2561 ขยายตัว 3% ปีนี้คาดว่าขยายตัว 2.7% ส่วนการค้าขายระหว่างประเทศ ปี 2561 เติบโต 3.7% ปีนี้คาดว่าขยายตัว 2.6% การกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐจึีงเป็นการทำร้ายเศรษฐกิจโลก 

ทูตหลู่ย์ เจี้ยน ย้ำว่า โลกทุกวันนี้คือโลกาภิวัตน์ แต่ละประเทศแบ่งงานกันทำตามความถนัด เช่น บริษัทหัวเว่ยผลิตโทรศัพท์มือถือ ใช้ชิ้นส่วนหลายพันชิ้น ผลิตจากหลายสิบบริษัททั่วโลก ร่วมกันผลิตโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง การที่สหรัฐข่มขู่หัวเว่ยก็เท่ากับทำร้ายอีกหลายสิบบริษัทจากหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ทำร้ายบริษัทจีนอย่างเดียว 

“จีนยืนยันตลอดมาว่ายินดีเจรจาด้วยสันติวิธีเพื่อหาทางออกด้วยการปรึกษาหารือกันอย่างเสมอภาค แต่ถ้าเป็นเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติจีนไม่มีวันยอม” ทูตกล่าวหนักแน่นพร้อมย้ำว่า จีนไม่เคยกลัวสงครามการค้า เพราะมีมาตรการรับมือและเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจีน

น่าสังเกตว่าจีนยืนยันเรื่องการเจรจา แต่ก็เก็บภาษีตอบโต้ตลอด เรื่องนี้ทูตจีนชี้แจงว่า ประตูเจรจาเปิดไว้เสมอ แต่ต้องเป็นการเจรจาด้วยความเสมอภาค เคารพซึ่งกันและกัน แต่สหรัฐเป็นฝ่ายผิดสัญญามาแล้วหลายรอบ 

“ถ้าจะเจรจาก็ต้องไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่ใช่ได้ประโยชน์บ้างแล้วก็อยากจะได้มากขึ้นอีก เหมือนการต่อราคาแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา” 

อย่างไรก็ตาม ทีมงานของสองประเทศตกลงหารือกันอีกครั้งหนึี่งในเดือน ต.ค. รัฐบาลจีนหวังว่ารอบนี้จะสรุปผลให้ได้ ซึ่งจะเป็นผลดีสำหรับสองประเทศ ส่วนเศรษฐกิจจีนที่เริ่มได้รับผลกระทบก็มีนโยบายรับมือเช่นกัน 

"จีนเป็นตลาดใหญ่สุดของโลก ประชากร 1.4 พันล้านคน ความต้องการภายในเพิ่มขึ้นมาก เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ  คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของเศรษฐกิจจีน สงครามการค้าทำให้จีนต้องปฏิรูปเศรษฐกิจให้เปิดกว้างมากขึ้น ขณะนี้จีนกำลังปรับโครงสร้างด้วยการเน้นอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ลดภาษี ค่าธรรมเนียม ปล่อยสินเชื่อให้ SME มากขึ้น ปฏิรูปชนบททำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้น และสร้างเขตการค้าเสรีในหลายมณฑลพิจารณาตามสภาพพื้นที่ 

ส่วนไทยจะรับมือกับสงครามการค้าอย่างไร ทูตจีนแนะนำว่า จีนพยายามพัฒนาด้วยการเปิดตัวสู่ภายนอก ซึ่งข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) ทำให้จีนมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด และผู้ประกอบการไทยก็ร่วมขบวนนี้ได้ 

จากเรื่องสงครามการค้ามาถึงอีกประเด็นที่คนไทยติดตามอย่างใจจดใจจ่อ ฮ่องกงเป็นดินแดนที่คนไทยรู้สึกใกล้ชิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่สามเดือนที่ผ่านมาการประท้วงที่ยังไม่มีทีท่ายุติ ยิ่งใกล้ถึงวันชาติจีน 1 ต.ค.ประชาคมโลกยิ่งต้องลุ้นว่า ผู้ประท้วงฮ่องกงจะมีกลยุทธ์ใดออกมา และทางการจะรับมืออย่างไร 

ทูตหลู่ย์ เจี้ยนเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.พ.2561 หนุ่มสาวฮ่องกงคู่หนึ่งเดินทางไปเที่ยวไต้หวันของจีน แล้วผู้ชายฆ่าผู้หญิง แต่ระหว่างฮ่องกงกับไต้หวันไม่มีกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้ส่งคนร้ายกลับไปรับโทษที่ไต้หวัน ฆาตกรจึงไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รัฐบาลฮ่องกงจึงเสนอแก้กฎหมายเกี่ยวกับผู้กระทำผิดที่หลบหนี เพื่อส่งผู้ต้องสงสัยไปขึ้นศาลและรับโทษ ตามกฎหมายที่ไต้หวัน เรื่องนี้ประชาชนฮ่องกงก็จับตามองอย่างใกล้ชิด 

"ตอนนี้รัฐบาลฮ่องกงตัดสินใจประกาศยกเลิกร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว แต่การประท้วงก็ไม่ยอมหยุด กลายเป็นความรุนแรงต่อสังคมโดยรวม ทำลายอธิปไตยของจีนและระบบการเมืองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ” ทูตกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ 

"สถานการณ์ที่เป็นกิจการภายในของฮ่องกง ถูกแทรกแซงจากภายนอก แถมยังมีบางคนอยากแบ่งแยกดินแดน เรียกร้องเอกราช ติดต่อกับภายนอก ทำให้การแก้ไขกฎหมายกลายเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง"  

อย่างไรก็ตาม การประท้วงก็ทำให้คนฮ่องกงคิดในเชิงลึกว่า สังคมจะพัฒนาไปอย่างไร ทั้งในแง่เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ถึงตอนนี้แคร์รี หล่ำ และทีมบริหารมีแผนคุยกับผู้ประท้วง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เพืื่อหาทางออก จีนจึงเชื่อมั่นว่า ยังสามารถหาทางออกแบบสันติวิธีได้ โดยยึดมั่นในหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ และกฎหมายขั้นพื้นฐานของฮ่องกง

“เขตปกครองพิเศษฮ่องกงมีกฎหมายพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งสถานการณ์บานปลายกระทบอธิปไตยของจีน และความมั่นคงของฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่ รวมถึงกระทบหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการตามกฎหมาย”

ส่วนการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของชาวไทยต่อความปลอดภัยในฮ่องกง ทูตมองว่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงและประชาชนฮ่องกงออกมาคัดค้านความรุนแรง ช่วยกันฟื้นฟูกฎระเบียบของสังคม

เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าวในตอนท้าย ขอบคุณมิตรประเทศที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลฮ่องกงและจีน ขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศไทยที่ออกแถลงการณ์สนับสนุนรัฐบาลจีนที่ว่า เรื่องฮ่องกงเป็นกิจการภายในของจีน รัฐบาลไทยยืนหยัดสนับสนุนหลักการ “1 ประเทศ 2 ระบบ” ขอบคุณบุคคลที่แถลงการณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ฮ่องกง สนับสนุนท่าทีของรัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกง จีนเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของฮ่องกงจะต้องสงบอย่างแน่นอน