เจโทรนำ 76 บริษัทร่วมงาน Medical Fair 2019 พร้อมจับคู่ธุรกิจ ชี้ปัจจัยจากโครงการอีอีซี สังคมสูงวัยและนิสัยกินเค็ม ทำไทยมีแนวโน้มค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลสูง
พร้อมนโยบายรัฐดันท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทำเป็นตลาดที่น่าสนใจ ด้านจ.ฟุกุชิมะ สานต่อเอ็มโอยู่หวังไทยร่วมใช้ห้องทดสอบและรับรองคุณภาพ
การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อยกระดับการผลิตของประเทศให้กว้างไป ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายคืออุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งไทยและญี่ปุ่นมีบันทึกความเข้าใจร่วมกัน(เอ็มโอยู) มาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือระดับท้องถิ่น ที่จะมีความเฉพาะเจาะจงและหวังผลมากขึ้น
นายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธาน ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)เปิดเผยว่า จากมูลค่าการค้าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ของโลกปัจจุบัน มีประมาณ 3.4 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ถึง 43.1 % รองลงมาคือ กลุ่มสหภาพยุโรป(อียู) ในจำนวนนี้ญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าประมาณ 7.4 % และไทยมีประมาณ 0.003 %
เจโทรมีเป้าหมายส่งเสริมให้นักธุรกิจเข้ามาลงทุนในไทย โดยเห็นว่าไทยมีความเหมาะสมหลายด้านที่จะใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งการศึกษาเบื้องต้นพบว่า อัตราค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ของไทยมีแนวโน้มสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอาเซียน ถึง 13.51% ต่อคนต่อปี รองลงมาเป็น สิงคโปร์ เวียดนาม เมียนมา ลาว บรูไน กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ในขณะที่ไทยยังเป็นผู้ส่งออกเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นผลิตภัณฑ์พื้นฐาน เช่น เข็มฉีดยา ไซริงค์ ถุงมือทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลต้องการพัฒนาผลิตเครื่องมือ-อุปกรณ์ที่มีศักยภาพ High end มากขึ้น โดยกำหนดให้เป็นเป้าหมายหลักในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นอกจากนี้ของไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ( Ageing Society)เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่เป็นสังคมสูงวัยแล้ว ทำให้ต้องมีความพร้อมทางด้านการแพทย์อย่างครบถ้วน
คนไทยเสี่ยงปัญหาสุขภาพ
การศึกษาของเจโทร ยังพบว่าคนไทยนิยมบริโภคเกลือต่อวันสูงมาก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ และนโยบายส่งเสริมทางการแพทย์ของรัฐบาลไทย ยังจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ และตลาดทางการแพทย์ของไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่เหมาะสมต่อลงทุนด้านการแพทย์และใช้ไทยเป็นฐานการผลิต
ทั้งนี้ภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนระหว่างภูมิภาคของเจโทร หรือ The Regional Industry Tie-up program (RIT) ที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางอุตสาหกรรมแบบ 2 ทางและความร่วมมือระหว่างภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเอื้ออำนวยการจับคู่ธุรกิจเพื่อพัฒนาตลาด แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ดังนั้น เจโทรจึงเชิญบริษัทญี่ปุ่น กว่า 76 บริษัท มาร่วมงาน จะจัดงาน “Medical Fair 2019” ในวันที่ 11-13 ก.ย.นี้ เพื่อเป็นโอกาสให้เกิดการจับคู่ค้าธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย
อย่างไรก็ตามในงานนี้เจโทรได้ให้การสนับสนุน กับทางจ.ฟุกุชิมะ เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระดับแนวหน้าของประเทศ รวมทั้งก่อนหน้านี้ยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ร่วมกับรัฐบาลไทย ด้านการพัฒนาและเชื่อมโยง SMEs ของไทยและญี่ปุ่น โดยมุ่งเน้นการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ในอนาคตของไทย
เอกชนฟูกุชิมะร่วมเจรจาธุรกิจ
นอกจากนี้ในงานยังมีการเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าไทย ทำการสำรวจวิจัยตลาดในประเทศไทยและส่งเสริมให้มีการติดต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์ เช่นสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และมหาวิทยาลัยฟุกุชิมะ กับ กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
สำหรับปัจจุบันผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว 46 ราย โดยเป็นธุรกิจด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และร้านขายยา 30 บริษัท และผู้ผลิตยา 16 บริษัท คาดว่าภายใต้ RIT นี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจไม่เกิดในพื้นที่อีอีซี โดยต้องพิจารณาจากการสนับสนุนของรัฐบาลไทย พื้นที่ที่เหมาะสม คู่ matching เป็นต้น
อุตฯการแพทย์ต่อยอดสังคมสูงวัย
นาย คาซูมิ มัทสึโมโต้ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส แผนกเครื่องมือแพทย์ จ.ฟุกุชิมะ กล่าวว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกเข้าสู่สังคมสูงวัย นโยบายรัฐบาลจึงหันมาส่งเสริมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผ่านโครงการรวบรวมอุตสาหกรรมทางการแพทย์ยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยการประสานงานระหว่างอุตสาหกรรม สถาบันทางการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐในจังหวัด รวมกว่า 58 บริษัท
ผลการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในขณะนี้ และการดำเนินการอนุมัติและรับรองทางกฎหมาย เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ ให้กับบริษัทที่มีประเภทกิจการต่างกัน และมีเป้าหมายที่จะวิจัยพัฒนา ทำให้เป็นธุรกิจ เพื่อเป็นผู้นำของโลกในการสร้างสาขาที่เป็นศูนย์กลางในการ ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 7 แผนงาน คือ การจัดประชุมอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวก การจับคู่ธุรกิจการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย การพัฒนาบุคลากรผู้รับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์
การสนับสนุนการอนุมัติและรับรองทางกฎหมาย เช่นยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก สนับสนุนการขยายช่องทางจำหน่าย และการสร้างความแข็งแกร่ง ระบบรากฐานการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์
“ทั้งหมดได้ปรับปรุงอีกครั้ง หลังจากที่ทางจังหวัดได้รับผลกระทบจากภัยแผ่นดินไหว โดยใช้งบประมาณถึง 134 ล้านล้านเยน ในการสร้างห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ ที่สามารถทดสอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์กับ ผู้ป่วย สัตว์ ซึ่งห้องปฏิบัติการนี้ ของไทยยังไม่มี การทดสอบและรับรองต่างๆ ต้องส่งไปใช้บริการที่สิงคโปร์ ห้องปฏิบัติการดังกล่าว ทาง nstda ของไทยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม พร้อมทั้ง MOU ร่วมกัน และบอกได้ว่าฟุกุชิมะมีแผนร่วมกันกับไทยแน่นอน ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา"