KCE - ซื้อเก็งกำไร

KCE - ซื้อเก็งกำไร

เมื่อทุกคนกลัว...นั่นคือโอกาส

นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อภาพผลการดำเนินงานของบริษัท เราไม่ได้ปฎิเสธในเรื่องนี้แต่แต่เรามองที่ประเด็นว่ามันได้สะท้อนไปในราคาหุ้นมากเท่าไหร่แล้ว ตลาดยังคงอยู่ในโหมดที่มีความกังวลต่ออุปสงค์ในระยะสั้นและผลกระทบของการปรับเปลี่ยนมาตรการ CO2 โดยไม่ได้สนใจเรื่องผลบวกจากการปรับโครงสร้างภายในตลอดช่วงเวลาที่ปัจจัยลบจากภายนอกเข้ามาถาโถม เราปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ขาย เป็น ซื้อเก็งกำไร ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 20.80 บาท อิงจากค่า PER ปี 2563 ที่ 17.9 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5
ปี อยู่ 0.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)

ปัจจัยที่ 1 — อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่จุดต่ำสุด (หรืออาจจะต่ำกว่านี้แต่ความเสี่ยงด้านล่างจำกัด)

ข้อมูล PMI ทั่วโลกล่าสุด (สำหรับเดือนก.ค.) ของอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลง ทั้งปริมาณผลผลิต, คำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานล้วนปรับตัวลดลงในระดับที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2552 สำหรับยอดผลิตยานยนต์ทั่วโลกปรับตัวลดลง 6% ในไตรมาส2/62 สะท้อนภาวะที่อ่อนแอในยุโรปและประเทศจีน ซึ่งลดลงเป็นระดับใกล้เคียงกับที่ปรับตัวลดลงในไตรมาส4/61 และ 1/62 เราเชื่อว่าข่าวร้ายต่างๆได้ถูกรับรู้ไปในตลาดมากแล้ว

ปัจจัยที่ 2 — สัญญาณฟื้นตัวสำหรับครึ่งหลังของปี 2562

การปรับตัวลดลงของยอดขายยานยนต์ในประเทศจีนชะลอตัวลดลงในเดือนก.ค.— ยอดขายค้าปลีกลดลง 5% YoY (ดีขึ้นกว่าการปรับตัวลดลงเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ 13% YoY) และยอดขายค้าส่งลดลง 3% ซึ่งเป็นการชะลอตัวของระดับการปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน (แม้ว่ายอดขายปรับตัวลดลงมา 13 เดือนติดต่อกัน) เราคาดยอดขายยานยนต์ในประเทศจีนจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2562 เนื่องจากสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับต่ำและผลประโยชน์จากการเปิดตัวโมเดลรถรุ่นใหม่ (ที่เริ่มออกมาหลังมีการปรับเกณฑ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานมลพิษใหม่ หรือที่เรียกว่า ChinaVI) รวมถึงยอดขายรถยนตร์ในจีนปรับตัวลงหนักตั้งแต่เดือน ก.ค. ในปีที่แล้ว เราคาดยอดขายรายเดือนของประเทศจีนจะเสถียรมากขึ้นจากประเด็นข้างต้นดังกล่าว ซึ่งจะหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลุ่มยานยนต์ทั่วโลก

ปัจจัยที่ 3 — ความเสี่ยงของการชะลอตัวต่อเนื่องสำหรับกำไรครึ่งหลังของปี 2562 ได้ถูกสะท้อนไปแล้ว

ในขณะที่เรายังรับรู้ได้ถึงโอกาสที่ภาวะเศรษฐกิจโลก และอุปสงค์ของยานยนต์จะยังชะลอตัว และความเสี่ยงด้านกำไรของบริษัท เราคิดว่าปัจจัยดังกล่าวได้สะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นแล้ว และเราเห็นปัจจัยที่เป็นอัพไซต์ในหลายๆประเด็น ได้แก่ การฟื้นตัวของยอดขายและยอดผลิตยานยนต์ทั่วโลกจากฐานต่ำ, ดัชนี PMI ที่อยู่ในระดับต่ำ และประเด็นความขัดแย้งทางการค้าที่ยังคงรุนแรงทำให้นักลงทุนอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง (ยังไม่มีposition หรือมีการลด position ในหุ้นลงมาก่อนหน้า) นอกจากนี้ราคาหุ้น KCE ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% ตั้งแต่มีการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ทั้งที่มุมมองที่ออกมายังคงเป็นเชิงลบ (เทียบกับการประชุม 2 ครั้งก่อนหน้าในปีนี้ ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมาในวันที่ประชุม และหลังประชุมสะท้อนมุมมองความผิดหวังของตลาด) บ่งชี้ว่าความคาดหวังของตลาดอยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว

ปัจจัยที่ 4 — ประมาณการกำไรตั้งแต่ต้นปีถูกหั่นลงมาอย่างรุนแรง

ตลาดปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นสำหรับ KCE ลงมากกว่า 50%YTD มาอยู่ที่ 1 บาท (ต้นปีคาดไว้ที่ 2 บาท/หุ้น) หากการปรับตัวลดลง YoYของกำไรในครึ่งปีหลังดีกว่าที่ตลาดคาด (ตลาดคาดไว้ลดลง 40%) เราเชื่อว่าราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นได้ (เราคาดกำไรในครึ่งหลังปี 2562 ปรับตัวลดลง 26% YoY หลังจากที่ปรับตัวลงมาแล้ว 51% YoY ในช่วงครึ่งแรกของปี) อีกทั้งเราเห็นโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 2563 ของตลาดจากฐานต่ำในปี 2562 (ตลาดคาดกำไรต่อหุ้นปี 2563 เติบโตที่เพียง 12% YoY สะท้อนมุมมองเชิงระมัดระวังอย่างมาก) ในปัจจุบันคำแนะนำต่อหุ้นของตลาดต่างเป็นไปในเชิงลบโดยโบรกเกอร์ 9 แห่งให้คำแนะนำ ขาย, 3 แห่ง แนะนำ ถือ และอีก 1 แห่งแนะนำ ซื้อ

ปัจจัยที่ 5 — มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ KCE ที่อยู่ในระดับต่ำและงบการเงินที่แข็งแกร่งส่งผลให้มีโอกาสปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล เราคาดงบลงทุนจะปรับตัวลดลงจาก 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 มาอยู่ที่ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ หนุนให้กระแสเงินสดในมือแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้อัตราการจ่ายเงินปันผลสาหรับผลการดาเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 อยู่ที่ 111% เพิ่มขึ้นจาก 30% สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 (35% สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2562)