ดีเดย์พรุ่งนี้แจ้งเบาะแส 'เด็กแว้น' รับ 3,000 บาท

ดีเดย์พรุ่งนี้แจ้งเบาะแส 'เด็กแว้น' รับ 3,000 บาท

"จักรทิพย์" เซ็นอนุมัติจ่ายเงินรางวัล "แจ้งเบาะแส" จับเด็กแว้นซิ่งป่วนเมือง เริ่มวันพรุ่งนี้ (3ก.ย.) ย้ำทุกข้อมูลที่ชาวบ้านส่งข่าวสารมาจะถูกปกปิดเป็นความลับ

เมื่อวันที่ 2 ก.ย.62 พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมเรื่องเงินตอบแทนบุคคลภายนอกผู้ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือเบาะแสการกระทำความผิดแข่งขันรถบนท้องถนน และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการประชุม พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า เพื่อให้ปัญหาการแข่งรถหมดไปอย่างยั่งยืน ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.นี้ เป็นต้นไป ประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้แจ้งเบาะแสการแข่งขันรถ จะได้รับเงินรางวัลนำจับ จำนวน 3,000 บาท ต่อ 1 ครั้ง เบื้องต้น เงินรางวัลดังกล่าวเป็นเงินนอกงบประมาณและได้รับสนับสนุนก้อนแรกจากภาคประชาชน จำนวน 500,000 บาท

ทั้งนี้ภาคประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส เป็นคลิปวิดิโอ, ภาพถ่าย ระบุวันเวลาเกิดเหตุ, สถานที่เกิดเหตุ, พฤติการณ์ในการกระทำผิด กับทางเจ้าหน้าที่ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ ศูนย์โชเชียลมิเดีย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.), ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน 1599, ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191

หากเบาะแสที่แจ้งมานำไปสู่การจับกุมดำเนินคดี ใน 3-4 ข้อหา ประกอบด้วย การแข่งรถในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, การขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดา, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น หรือเป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริมให้มีการแข่งรถ (แอดมินเพจ) หลังตำรวจมีการสืบสวนขยายผลจับกุมได้ ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินรางวัลดังกล่าว โดยจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น 10 วันทำการ นับแต่มีการจับกุม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ขอยืนยันข้อมูลที่ได้รับแจ้งเป็นเบาะแส จะปกปิดเป็นความลับ แต่หากบุคคลใดไม่ประสงค์รับเงินรางวัลก็แจ้งความประสงค์ได้เช่นกัน “หากในเหตุการณ์เดียวกันมีการแจ้งเบาะแสหลายคน ก็จะมีคณะกรรมการพิจารณาใหัเงินรางวัลตามพยานหลักฐานต่อไป”

พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้อนุมัติหลักการเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กแว้นอันเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้กำชับสั่งการให้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงตั้งแต่เดือน มิ.ย.โดยเน้น 4 มาตรการเชิกรุก ทั้งก่อนเกิดเหตุ , การปราบปราม ขณะเกิดเหตุ รวมไปถึงการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงต่างๆโดยดำเนินการจริงจังมา 2 เดือน พบว่าสถิติลดจำนวนลงอย่างมาก เหลือประมาณ 10-15% เท่านั้น