เจาะกลยุทธ์ ‘แอดไวซ์’ ‘โต’ สวนกระแสไอทีชะลอ

เจาะกลยุทธ์ ‘แอดไวซ์’  ‘โต’ สวนกระแสไอทีชะลอ

ในภาวะที่ตลาดไอทีประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอและมีแนวโน้มว่าภาพรวมตลอดทั้งปี 2562 จะตกต่ำกว่าปีที่ผ่านมา บรรดาผู้ค้าต่างเร่งปรับแผน เปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดมาให้ได้มากที่สุด

ขณะเดียวกันยังต้องรอลุ้นว่าครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยอะไรเข้ามาช่วยเพิ่มแรงบวก กระตุ้นให้กำลังซื้อกระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง...

จักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด เปิดมุมมองว่า ภาพรวมตลาดพีซีประเทศไทยครึ่งปีแรกค่อนข้างชะลอ จีเอฟเคประมาณไว้ว่าตกลงประมาณ 4% ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะเดียวกันเพิ่งมีรัฐบาลใหม่จึงยังต้องรอดูว่าจะมีมาตรการสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง

อีกทางหนึ่งตลาดไม่ได้ดีเหมือนช่วง 5 ปีที่แล้ว ได้รับผลกระทบจากการมาของสมาร์ทโฟน ในมุมคอนซูเมอร์ตลาดพีซีแคบลง แบรนด์ต่างๆ ต้องพยายามสร้างตลาดใหม่ๆ โดยขยับไปสู่เกมมิ่ง ประเมินขณะนี้แม้เชิงยอดขายลดลง ทว่าเชิงมูลค่ายังคงรักษาระดับไม่ต่างจากเดิมมากนัก และปีนี้คาดว่าสัดส่วนตลาดเกมมิ่งจะเพิ่มจาก 15% ในปีที่ผ่านมาไปเป็น 20% ครึ่งปีหลังการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง ด้วยแต่ละแบรนด์พยายามขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด

เดินเกมรุกหนัก’ไอทีภูธร’

เขากล่าวว่า การลงทุนของภาครัฐจะเป็นตัวจักรสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดเติบโต โดยครึ่งปีหลังยังต้องรอลุ้นว่าการใช้จ่ายที่หายไปจะกลับมาหรือไม่ งบประมาณปี 2563 ที่จะเคาะเดือนต.ค.นี้จะเป็นอย่างไร เช่น จากโครงการไอซีทีชุมชุม การเรียนการสอนทางไกล โครงการของกระทรวงศึกษาธิการ อานิสงส์จากการพัฒนาอินฟราสตรักเจอร์ในโครงการเน็ตประชารัฐ ฯลฯ เบื้องต้นโอกาสของธุรกิจพีซีในตลาดนี้มียอดขายประมาณ 8 หมื่นถึง 1.5 แสนเครื่อง

"ผมคาดว่าปีนี้ตลาดรวมพีซีไทยจะทรงตัว หรือมียอดขายประมาณ 3 ล้านกว่าเครื่อง ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อย่างแย่อาจตกลง 4-5% มูลค่าประมาณ 1.34 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 1.4 หมื่นล้านบาท”

สำหรับแอดไวซ์แนวทางธุรกิจ มุ่งสร้างการเติบโตด้วยโมเดลธุรกิจแบบไฮบริด โดยมีทั้งส่วนของการขายปลีก ขายส่ง(ดีลเลอร์) และออนไลน์ จากราวสองปีก่อนขายส่งมีสัดส่วน 65% ค้าปลีก 35% ปีนี้จะทำให้ได้ใกล้เคียงกัน โดยครึ่งปีแรกนี้ขายส่งมีสัดส่วน 51% และค้าปลีก 49% แล้ว ขณะที่ภาพรวมเติบโตได้มากกว่าปีผ่านมาแต่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ จะเพิ่มการโฟกัสการขายปลีกมากขึ้น มีการปรับปรุงหน้าร้านให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทันสมัยมากขึ้น ปัจจุบันมีแบรนด์ช็อปทั้งหมด 112 สาขา แบ่งเป็นในกทม. 11 สาขา ต่างจังหวัด 100 สาขา และที่ร่วมลงทุนกับเอซุสอีก 1 สาขา หากรวมกับเฟรนไชส์จะมีกว่า 355 สาขา 

"ในแผนเราจะขยายแบรนด์ช็อปเพิ่มอีกประมาณ 20 สาขา เน้นที่กทม.เป็นหลัก โฟกัสเมืองชั้นนอก โมเดิร์นเทรดต่างๆ และร่วมมือกับพันธมิตรเช่นพาวเวอร์บาย พร้อมกันนี้เพิ่มร้านย่อยบิสิเนสโมเดลแบบเฟรนไชส์ ปรับปรุงร้านให้มีศักยภาพการแข่งขันดีขึ้น ธีมหลักเน้นเกมมิ่ง มีดิสเพลย์ชัดเจน สร้างแบรนด์ดิ้ง ขณะเดียวกันมีการวิจัยความต้องการตลาดในแต่ละพื้นที่ควบคู่กันไป"

ดีเดย์เข้าตลาดไตรมาส3ปีหน้า

สำหรับพอร์ตสินค้า สัดส่วนมาจากดีไอวายคอมโพเนนท์ 30% โน้ตบุ๊ค 24% เดสก์ทอป 8-9% เครื่องพิมพ์ 17% ส่วนสมาร์ทโฟนประมาณ 3-4% รวมมีอยู่กว่า 1 หมื่นรายการ ทั้งบริษัทมีแผนทำเฮาส์แบรนด์ของตนเองด้วย โดยจะเริ่มจากอุปกรณ์เสริมคอมพ์ก่อน ส่วนบริการเชิงโซลูชั่นทำผ่านพันธมิตร รวมถึงมีการทีมขายคอร์ปอเรทที่ดูแลลูกค้ารายใหญ่

อย่างไรก็ดี ครึ่งปีแรกทำรายได้ได้ 6,500 ล้านบาท ทั้งปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 5% จากปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้จากตลาดต่างจังหวัด 85% กทม.15% หวังด้วยว่ายอดจากออนไลน์จะโตได้ถึง 30% หรือมีสัดส่วนประมาณ 12-15% จากยอดขายโดยรวม ปัจจุบันบริษัทครองตำแหน่งผู้นำดีเลอร์ไอทีในประเทศไทย

“ด้วยตลาดรวมไอทีที่ชะลอ การเติบโตแน่นอนว่าส่วนหนึ่งจะต้องมาจากการดึงส่วนแบ่งมาจากรายอื่นๆ โดยจุดแข็งของเราคือโมเดลธุรกิจที่เป็นแบบไฮบริด มีการพัฒนาหน้าร้าน การตกแต่ง การปรับพอร์ทสินค้าให้ตอบโจทย์ รวมถึงการพัฒนาด้านการบริการหลังการขาย ตั้งแต่จุดรับสินค้ากระทั่งบริการซ่อม ทุกอย่างต้องเร็วและแม่นยำ สามารถตรวจสอบได้เรียลไทม์ ที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าเข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจทั้งด้านบริหารการขาย การวางสินค้า การบริหารสต็อกสินค้ารวมถึงคลังสินค้าด้วย”

นอกจากนี้ เพื่อทำให้รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ครึ่งปีหลังบริษัทได้พัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด โดยขยับไปทำอีสปอร์ตมากขึ้น เป้าหมายเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ทั้งกับคนรุ่นใหม่ระดับมหาวิทยาลัย วัยทำงานเริ่มต้น รวมปีนี้ใช้งบการตลาด ขยายสาขา พัฒนาและปรับปรุงร้านประมาณ 70 ล้านบาท

พร้อมระบุว่า ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563  บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยหลักๆ เพื่อการลงทุนขยายตลาดในภูมิภาคอินโดจีน ประเทศลาว กัมพูชา และเมียนมา