เลือกเล่นรายตัว

เลือกเล่นรายตัว

นักลงทุนยังคงมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นได้

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบ +1.46 จุด (+0.09%) ปิดที่ระดับ 1,616 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุนโดยแม้ว่าจะมีแรงซื้อกลุ่ม Energy และ Petro ตามราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น อย่างไรก็ตามความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากสัญญาณ Inverted Yield Curve ยังคงกดดันต่อทิศทางดัชนี ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,166 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 77 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 7,378 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,610 - 1,625 จุด โดยแม้ว่ากลุ่มพลังงานจะได้ sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นราว 1.6% หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากถึง 10 ล้านบาร์เรล ประกอบกับความคาดหวังมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว เช่น Mega project, EEC ของครม.เศรษฐกิจที่จะประชุมในวันพรุ่งนี้ (30 ส.ค.) อย่างไรก็ตามสถานการณ์ Trade war ระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่แน่นอนและมี deadline วันที่ 1 ก.ย.ในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันรอบใหม่, อังกฤษอาจเผชิญภาวะ Brexit แบบ No deal ในวันที่ 1 ต.ค. รวมถึง Inverted Yield Curve ของ US Bond yield อายุ 10 และ 2 ปี ทำให้นักลงทุนยังคงมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นได้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มนิคมฯ (AMATA, WHA)  บอร์ด EEC เตรียมนำร่างผังใช้ประโยชน์ที่ดินใน EEC เข้าครม. รวมถึงอานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะประชุม 30 ส.ค.
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • กลุ่มเดินเรือ (PSL, TTA ) ค่าระวางขึ้นทำ High ในรอบ 6 ปีล่าสุด 2,267 จุด
  • หุ้น Defensive stock (INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TPCH, TTW, CPALL)

หุ้นแนะนำวันนี้ : TOP (ปิด 62.25 ซื้อ/เป้า 80) ได้ Sentiment บวกจากค่าการกลั่นที่เริ่มฟื้นตัวล่าสุดปรับขึ้นสู่ระดับ 5$/bbl สูงขึ้นจากช่วง 1 เดือนก่อนหน้าที่ลดลงไปที่ระดับ 3-4$/bbl นอกจากนี้ในช่วงปีหน้าจะได้ประโยชน์จากมาตรการของ IMO ซึ่งกำหนดให้กองเรือลดการใช้น้ำมันเตาซึ่งมีกำมะถันและซัลเฟอร์สูงคาดว่าจะหนุนให้กองเรือหันมาใช้น้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันต่ำแทนน้ำมันเตาเพิ่มมากขึ้นเป็นบวกต่อ TOP, AMATA (ปิด 26.5 ซื้อ/เป้า 28 บาท) เก็งกำไร ครม.เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 เน้นโครงการระยะกลางถึงยาวโดยเฉพาะโครงการ EEC Project ส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังหนุนให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากจีนมาไทยเพื่อเลี่ยงปัญหา Trade war มากขึ้น

KSS report วันนี้: -

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (+) ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ตอบรับตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลงมากสุดในรอบ 5 สัปดาห์: ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ (+1.6%) ปิดที่ 55.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตอบรับ EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 10 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลงเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 และเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์ เช่นเดียวกับสต๊อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.88 แสนบาร์เรล
  • (+) ดาวโจนส์บวก 258 จุด จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร แม้ตลาดพันธบัตรสหรัฐจะยังอยู่ในภาวะ Invert yield curve: ดัชนีดาวโจนส์พลิกเป็นบวก 258 จุด (+1%) ปิดที่ระดับ 26,036 จุด แม้ภาพรวมจะยังถูกกดดันจากภาวะ Invert yield curve แต่ด้วยแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งตอบรับกับตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์ รวมไปถึงแรงช้อนซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารที่ราคาลดลงแรงในช่วงก่อนหน้า ถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่เข้ามาช่วยผลักดันตลาด
  • (+) ปัจจัยที่ต้องติดตาม – สุดสัปดาห์นี้ติดตามรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 เน้นโครงการระยะกลางถึงยาว เป็นบวกต่อกลุ่ม นิคมฯ: เราคาดว่าในช่วงวันที่ 30 ส.ค. -2 ก.ย.19 จะมีการประชุม ครม.เศรษฐกิจนัดที่ 2 เบื้องต้นคาดว่าที่ประชุมจะมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 ส่วนใหญ่คาดว่าจะเป็นมาตรการระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะโครงการ EEC Project รวมถึงโครงการค้างท่อในภาคการก่อสร้าง และ Mega Project ต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่คณะกรรมการ EEC ได้พิจารณาอนุมัติรายละเอียดของร่างการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ EEC 3 จังหวัดที่จะนำเข้าที่ประชุมครม.อนุมัติในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อ Sentiment การลงทุนโดยรวมและส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ นิคมฯ และ กลุ่มรับเหมา