ไอบีเอ็ม-ศุลกากร ดึง "บล็อกเชน" เสริมแกร่งอุตฯโลจิสติกส์ไทย

ไอบีเอ็ม-ศุลกากร ดึง "บล็อกเชน" เสริมแกร่งอุตฯโลจิสติกส์ไทย

ดึง “เมอส์ก” ร่วม ดีเดย์นำร่องเฟสแรกที่ท่าเรือแหลมฉบังภายใน 3 เดือนนี้

“ไอบีเอ็ม” ผนึก “กรมศุลกากร” พร้อมด้วยยักษ์โลจิสติกส์ “เมอส์ก” ดึงเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยเสริมแกร่งการค้าระหว่างประเทศ หวังเพิ่มความน่าเชื่อถือ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ ดีเดย์นำร่องเฟสแรกที่ท่าเรือแหลมฉบังภายใน 3 เดือนนี้

นางสาวปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าวว่า ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กรมศุลกากร และเมอส์กได้นำแพลตฟอร์ม “เทรดเลนส์ (TradeLens)” ที่พัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อคเชนมาใช้ในประเทศไทยเพื่อพัฒนาการค้าระหว่างประเทศโดยกรมศุลกากรเป็นหน่วยงานราชการลำดับที่สองในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการนำมาเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้งานต่อจากสิงคโปร์ และเป็นอันดับที่สามในเอเชียแปซิฟิก

“ความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจทั้งภายในและระหว่างประเทศ เชื่อด้วยว่าแพลตฟอร์มเทรดเลนส์และการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในหลายๆ ด้าน จะส่งผลดีให้ทุกฝ่ายในระบบนิเวศของการขนส่ง ขณะเดียวกันยกระดับการค้าการลงทุนให้ทันสมัยทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับสากล”

ข้อมูลระบุว่า ระบบนิเวศการค้าโลกจำเป็นต้องพัฒนาให้มีความทันสมัยเนื่องจากที่ผ่านมากว่า 90% ของสินค้าที่ต้องจัดส่งในแต่ละชิปเมนท์ต้องใช้เอกสารกว่า 200 รายการ บุคลากร 300 คน ซึ่งต้องใช้เวลาและมีต้นทุนที่สูง

ขณะที่ แต่ละปีสินค้ามูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ถูกขนส่งระหว่างประเทศ โดย 80% ของสินค้าดังกล่าว ส่งผ่านทางอุตสาหกรรมขนส่งทางทะเล แน่นอนว่าขั้นตอนทางเอกสารต่างๆ ได้สร้างความยุ่งยากให้ระบบขนส่งทั่วโลก ความไม่แน่นอน ความไม่ถูกต้องของข้อมูล ความล่าช้าหรือการหยุดชะงักในขั้นตอนการเช็คสินค้าและกรอกข้อมูลด้วยมือ ขาดการประเมินความเสี่ยง การสื่อสารที่ไร้ประสิทธิภาพและมีต้นทุนสูงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และยังมีความไม่โปร่งใส

ดังนั้นบล็อกเชนจะมีส่วนสำคัญต่อทั้งการเพิ่มความปลอดภัย น่าเชื่อถือ ทั้งกับพันธมิตรทางการค้าและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการจัดเก็บข้อมูล สามารถวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์

นายชูชัย อุดมโภชน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ศุลกากร กรมศุลกากร กล่าวว่า ความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลบนแพลตฟอร์มเทรดเลนส์จะทำให้กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการค้าระหว่างประเทศบนแพลตฟอร์มเดียวกันได้แบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ การตรวจปล่อยสินค้าล่วงหน้าจากข้อมูลบนแพลตฟอร์มเทรดเลนส์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ในการควบคุมทางศุลกากร ทราบถึงข้อมูลสินค้าตั้งแต่เรือออกจากประเทศต้นทาง ตรวจสอบใบสั่งซื้อได้แบบเรียลไทม์ คาดว่าน่าจะมีส่วนทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้เป้าหมายหลักเน้นด้านการปกป้องสังคม ประชาชน สกัดสินค้าหนีภาษี การหลีกเลี่ยงภาษี และที่ขัดต่อกฎหมาย

ขณะเดียวกันเป็นการลดระยะเวลาในการผ่านพิธีการศุลกากร ลดค่าใช้จ่าย และลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ สร้างความโปร่งใส ความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ในแผนภายในสามเดือนจากนี้จะนำร่องใช้งานสำหรับการตรวจปล่อยล่วงหน้าที่ท่าเรือแหลมฉบังเป็นเฟสแรกก่อน จากนั้นขยายผลไปยังท่าเรือกรุงเทพต่อไป

เทรดเลนส์ คือ แพลตฟอร์มระบบดิจิทัลที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศที่ทำให้การติดตามระบบขนส่งมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลระหว่างผู้ใช้แพลตฟอร์มได้ ขณะนี้มีบริษัทร่วมใช้งานกว่า 100 ราย รวมถึงบริษัทโลจิสติกส์ท็อป 10 ของโลกทุกราย

ระบบดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของบริษัทขนส่ง เอ.พี.มอลเลอร์-เมอส์กและไอบีเอ็ม ที่เปลี่ยนกระบวนการขนส่งแบบเก่าที่ต้องใช้เอกสารมาเป็นระบบดิจิทัลที่จะช่วยเสริมให้ระบบขนส่งครบวงจร มีความรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำ

สำหรับการที่แพลตฟอร์มเทรดเลนส์ช่วยเปลี่ยนกระบวนการขนส่งให้เป็นระบบดิจิทัล จะช่วยให้กรมศุลกากรมีเครื่องมือในการติดตามแบบอัตโนมัติและแม่นยำ ส่งผลให้การทำงานมีความปลอดภัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ Near Real-time ระหว่างสมาชิกเครือข่ายของทางระบบ

ด้านเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะสามารถทราบข้อมูลส่งสินค้าเกือบจะทันทีที่ตู้สินค้าออกจากท่าเรือต้นทาง ทำให้เจ้าหน้าที่มีเวลาในการเตรียมรับสินค้าที่กำลังจะมาถึง และทำให้การตรวจสอบสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น มากกว่านั้นช่วยให้การเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและโปร่งใส