เปิดงาน Thailand Focus

เปิดงาน Thailand Focus

การประชุมครม.เศรษฐกิจวันที่ 30 ส.ค.ที่คาดว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น Mega project, EEC ซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นได้

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ทรุดตัวลงแรง -7.26 จุด (-0.45%) ปิดที่ระดับ 1,615 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.9 หมื่นล้านบาท จากความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังผู้ตรวจการแผ่นดินส่งศาลรธน.วินิจฉัยปมนายกฯถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน รวมถึงความกังวล MSCI Rebalance ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลงและเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีนขึ้นเป็น 15% ทั้งนี้เป็นแรงขายกลุ่ม Etron, ICT, Cons ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,727 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 613 ล้านบาท รวมถึง Net Short TFEX จำนวน 1,871 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,610 - 1,625 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงอยู่ในภาวะ Risk off จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยตามสถานการณ์ Trade war ที่ไม่แน่นอนหลังถ้อยแถลงของจีนและสหรัฐสวนทางกัน ส่งผล Fund Flow ไหลเข้าลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตร โดยล่าสุด US Bond yield อายุ 10 ปีลงต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1.47 และทำ Inverted Yield Curve กับอายุ 2 ปี อย่างไรก็ตามเราคาดหวัง sentiment เชิงบวกจากงาน Thailand Focus ช่วงวันที่ 28 – 30 ส.ค.นี้ที่จะนำเสนอแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับมา ประกอบกับการประชุมครม.เศรษฐกิจวันที่ 30 ส.ค.ที่คาดว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น Mega project , EEC ซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนีรีบาวด์ขึ้นได้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มนิคมฯ (AMATA, WHA)  คาดได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่จะประชุม 30 ส.ค.
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • กลุ่มเดินเรือ (PSL, TTA) ค่าระวางขึ้นทำ High ในรอบ 6 ปีล่าสุด 2,213 จุด
  • หุ้น Defensive stock (INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TPCH, TTW, CPALL)

หุ้นแนะนำวันนี้ : ADVANC (ปิด 229 ซื้อ/เป้าใหม่ 255 เดิม 232) ปลอดภัยจาก Trade war, ตลาดมีแนวโน้มปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มขึ้นหลังการแข่งขันในธุรกิจเริ่มลดลง และยังได้ประโยชน์จากการยืดจ่ายค่าไลเซนส์คลื่น900MHz ทำให้บริษัทมี Cash flow เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสกลับมาจ่ายปันผลในอัตรา 100% เดิม 70%, AMATA (ปิด 26.75 ซื้อ/เป้า 28 บาท) เก็งกำไร ครม.เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 2 เน้นโครงการระยะกลางถึงยาวโดยเฉพาะโครงการ EEC Project ส่งผลบวกโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังหนุนให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากจีนมาไทยเพื่อเลี่ยงปัญหา Trade war มากขึ้น

KSS report วันนี้: EPG (ปิด 7.25 ถือ/เป้า 6.7 บาท), Telecom sector (Top pick: ADVANC, INTUCH  และ DTAC)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (-) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ Invert Yield curve อีกครั้ง ส่งผลให้ความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังคงอยู่: นักลงทุนวิตกกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐยังลดลงอย่างต่อเนื่องและต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี เพิ่มมากขึ้น (Invert yield curve) โดยล่าสุด Bond yield 10 ปี ของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 1.468% เทียบกับ Bond yield 2 ปีที่ 1.516% จากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าทุกครั้งที่เกิด Invert Yield curve จะทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมาภายใน 19-22 เดือน
  • (-) Trade war จีนกับสหรัฐ ยังยืดเยื้อ ล่าสุดกระทรวงต่างประเทศจีนออกมาระบุว่าจีนยังไม่ได้ติดต่อกับสหรัฐเพื่อเริ่มต้นเจรจารอบใหม่: ตลาดยังคงสับสนกับกระแสข่าวของ Trade war ซึ่งเกิดขึ้นเป็นรายวันโดยล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาระบุว่าเจ้าหน้าที่ของจีนไม่เคยโทรศัพท์ไปยังสหรัฐเพื่อเริ่มต้นเจรจารอบใหม่ ซึ่งเป็นการหักล้างคำพูดของ โดนัล ทรัมป์ที่กล่าวว่าจีนพร้อมเจรายุติสงครามการค้ากับสหรัฐแล้ว หากทั้งสองประเทศยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาจะยิ่งทำให้ปัญหายืดเยื้อและบานปลายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ 1 ก.ย.ภาษีนำเข้าสินค้ารอบใหม่ที่ทั้งสองประเทศต่างประกาศขึ้นภาษีจะเริ่มมีผลบังคับใช้
  • (-) การเมืองในประเทศยังไม่นิ่ง หลังจากวานนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องการกล่าวคำถวายสัตย์ฯของนายกฯให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย: ปัญหาการเมืองในประเทศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเข้ามากดดันตลาดหลังจากที่วานนี้ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งเรื่องการกล่าวคำถวายสัตย์ฯของนายกฯให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกล่าวคำถวายสัตย์ฯขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 161 และเป็นเหตุให้คำสั่งของนายกฯและรัฐบาลชุดใหม่ถือเป็นโฆษะหรือไม่ โดยขั้นตอนต่อไปรอติดตามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับไว้พิจารณา นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าจากกรณีที่ ส.ส.จำนวน 110 คน ส่งคำร้องให้ประธานสภาฯเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำตัดสินในวันที่ 18 ก.ย.19 จึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่จะกดดันตลาดเพิ่มเติมไปจนถึงวันตัดสิน