กลยุทธ์การลงทุน (26 ส.ค.62)

กลยุทธ์การลงทุน (26 ส.ค.62)

สงครามการค้ายกระดับ กดดันหุ้นช่วงสั้น... แต่รอบนี้มองลงไม่ลึก

ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานรอบใหม่ ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ตลาดการเงินโลกกลับมากังวลเรื่องสงครามการค้าอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังทางการจีนประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้า 5-10% กับสินค้ามูลค่า 7.5 หมื่นล้านเหรียญจากสหรัฐ และกลับมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์อีกครั้ง (เพื่อเป็นการตอบโต้การเก็บภาษีของสหรัฐฯ ที่ประกาศไปเมื่อสามสัปดาห์ก่อน) ในขณะที่สหรัฐก็ตอบโต้อีกรอบทันที... โดยประกาศเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่า 2.50 แสนล้านเหรียญที่ 30% (จากเดิม 25%) และสินค้าจีนล๊อตล่าสุด 3 แสนล้านเหรียญที่ 15% (จากเดิม 10%) ซึ่งน่าจะส่งผลให้ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ กลับมากดดันสินทรัพย์เสี่ยง และน่าจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติลดความเสี่ยงปรับพอร์ตออกจากหุ้นเอเชียและหุ้นไทยต่อไปในระยะสั้น

ความเสี่ยงดังกล่าว น่าจะกระตุ้นให้ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งผ่อนคลายนโยบายการเงิน ในเดือน ก.ย. นี้

ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าความขัดแย้งทางการค้าที่เร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จะทำให้มีการตอบสนองจากนโยบายการเงินในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด (จะประชุมในวันที่ 18 กันยายน) และธนาคารกลางยุโรป (จะประชุมในวันที่ 12 กันยายน) นักเศรษฐศาสตร์ของ KGI มองว่ามีโอกาสสูงมากที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก และอาจส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหลัง ก.ย. ไปแล้ว ส่วนฝั่งยุโรปนั้น มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลักทุกตัวลงอีก 0.1% พร้อมเตรียมดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ (Asset Purchase Program หรือ APP) รอบใหม่อีกในไตรมาส 4/2562 หรือต้นปี 2563 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ทางเรามองว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่อปัญหาเศรษฐกิจ เสริมสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้น และ น่าจะทำให้การปรับฐานลงของตลาดหุ้นไม่รุนแรง

เราคงมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ถดถอยในปี 2563 และสำหรับ SET Index เราคงมองช่วง 1,580-1,590 จุด มีโอกาสเป็ นจุดต่ำสุด คล้ายกับการปรับฐานรอบก่อนหน้านี้

จากมุมมองที่ว่า i) ธนาคารกลางต่างๆ ตอบสนองนโยบายการเงินค่อนข้างเร็ว และ ii) สถิติในรอบ 40 ปีที่ผ่านมาชี้ว่าไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐคนไหนเคยถูกเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งอีกรอบถ้าหากว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ราจึงยังคงเชื่อว่าสหรัฐฯ จะรอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ซึ่งหมายถึง GDP หดตัว QoQ ติดต่อกันสองไตรมาส) ทั้งนี้ หากเราใช้สมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ถดถอย เราเชื่อว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้น ซึ่งประเมินโดยใช้แบบจำลอง earnings yield gap โดยกำหนด yield gap ที่ประมาณ 5% จะได้ SET Index ที่ประมาณ 1,580 จุด เราจึงมองว่า SET Index มีความเสี่ยงทางลงจากระดับปัจจุบันประมาณ 4% เท่านั้น ทั้งนี้ตัวเลข yield gap และดัชนีฯ ข้างต้น คำนวณจากสมมติฐานกำไร บจ. ปี 2562 ที่ 100.0 จุด และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีที่ 1.25% ซึ่งเป็นระดับที่เป็นไปได้ถ้าหาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในเดือนกันยายน

ยังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก และหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ไปก่อน และเรายังคง Overweight หุ้นเสี่ยงต่ำ เช่นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้ า และกลุ่มพาณิชย์

เนื่องจากความกังวลเกี่ยวการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกจะยกระดับขึ้นในช่วงสั้น เราแนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก และหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ไปก่อน แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้จะถูกลงมามากแล้วก็ตาม ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงเน้น Overweight หุ้นเสี่ยงต่ำที่มีแนวโน้มกำไรสม่ำเสมอ รวมทั้งหุ้นที่มีกระแสเงินสดในลักษณะคล้ายพันธบัตร เช่นหุ้นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้ า และกลุ่มพาณิชย์ โดยหุ้นเด่นได้แก่ INTUCH*, BGRIM*, RATCH*, CPALL*, COM7* และ MBK*