ลุยสอบเผาป่าพรุควนเคร็ง แฉเพลิงสงบนายทุนดอดรังวัด

ลุยสอบเผาป่าพรุควนเคร็ง แฉเพลิงสงบนายทุนดอดรังวัด

กองปราบลุยสอบ เผาป่าพรุควนเคร็ง แฉหลังเพลิงสงบนายทุนดอดรังวัดและปักเสาปูนปันแนวเขตพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งนับ 1,000 ไร่ คาดจับล็อตแรกไม่น้อยกว่า 10 คน

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.62 จากกรณีเกิดไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งในพื้นที่ 5 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างความเสียหายให้กับป่าพรุควนเคร็งนับหมื่นไร่ ซึ่งกอนหน้านี้นายกวีวัฒน์ หยูทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ดอนตรอ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช ออกมาระว่าไม่มีไฟป่าไหม้ป่าพรุควนเคร็ง แต่สถานการณ์ไฟไหม้ที่เกิดข้นมาจากฝีมือมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวการจุดไฟเผาป่าพรุควนเคร็งน่าจะมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดับไฟป่าพรุควนเคร็งรวมอยู่ด้วย ล่าสุด รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ จ.นครศรีธรรมราช นำเรื่องไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฏร ในขณะที่นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ออกมาประกาศตั้งรางวัลสำหรับผู้ที่ชี้เบาะจนนำไปสู่การจับกุมมือเผาได้จะได้รับรางวัล 5,000 บาท และหากศาลพิพากษาลงโทษจะได้รับรางวัล 50,000 บาท จนเป็นที่วิพากวิจารณ์กันอย่างกว้างขางตามที่เสนอข่าวอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากสถานการณ์ไฟไห้ป่าพรุควนเคร็งคลี่คลายจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ และจะมีการประกาศยุติบทบาทศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ไฟป่าและหมอกควันจังหวัดนครศรีธรรมราช (ส่วนหน้า) และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้เดินทางกลับที่ตั้งไปแล้ว แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยาน ฯเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมชลประทานยังคงประจำอยู่ในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและสูบน้ำเติมเข้าไปในพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งอย่างต่อเนื่อง คาดว่าภารกิจในการควบคุมไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งในช่วงเกอบ 1 เดือนที่ผ่านมาใช้งบประมาณไปไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท

โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ มีกลุ่มบุคคลเข้าไปรังวัดจัดแบ่งพื้นที่ป่าพรุที่ถูกไฟไหม้เนื้อที่นับพันไร่ ซึ่งมีการจัดแบ่งเป็นล็อค ๆ ละประมาณ 30 ไร่และนำเสาปูนสูงประมาณ 1.5 เมตรไปปักเป็นแนวเขตแดนพื้นที่แต่ละล็อคพร้อมมีการทาสีแดงเป็นสัญลักษณ์ในการจับจองพื้นที่ นอกจากนี้ยังใช้ต้นใหญ่เป็นแนวเขตโดยนำสีแดงมาทาที่ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์อีกด้วย ทำให้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการเกิดเพลิงไหม้ป่าพรุควนเคร็งไม่ได้เกิดจากไฟป่าตามธรรมชาติ แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่จุดไฟเผาเพื่อให้เป็นป่าเสื่อมโทรมก่อนจะเข้าไปยึดครองเป็นเจ้าของต่อไป

ในขณะที่ทางรัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดส่งกำลังตำรวจกองปราบปราบลงพื้นที่เพื่อสอบสวนสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ร่วมก่อเหตุและบงการจุดไฟเผาป่าพรุควนเคร็ง โดยในเบื้องต้นได้เดินทางไปถ่ายภาพและเก็บรวบรวมหลักฐานยังจุดที่มีการปักเสาปูนจัดแบ่งพื้นที่เป็นล็อค ๆ และเข้าทำการสอบสวนปากคำนายกวีวัฒน์ หยูทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ดอนตรอ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อขอทราบข้อมูลของขบวนการจุดไฟเผาป่าพรุควนเคร็ง โดยในเบื้องต้นนายกวีวัฒน์ ระบุกลุ่มคนที่นำเสาปูนเข้าไปรังวัดและปักปันแนวเขตป่าพรุควนเคร็งมีจำนวน 9 คน ทางตำรวจกองปราบอยู่ระหว่างการสืบสวนหาตัวกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 9 คน เพื่อสอบสวนขยายผลว่าคนทั้งหมดเป็นใครมาจากไหน ใครเป็นผู้บงการหรือว่าจ้างให้เข้ามารังวัดปักปันแนวเขต และเสาปูนทาสีไว้เป็นสัญลักษณ์ดังกล่าว

นอกจากนี้ตำรวจกองปราบพอจะทราบแล้วว่าเสาปูนดังกล่าวซื้อมาจากร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างร้านไหน อยู่ระหว่างการสอบสวนร้านคาวสดุก่อสร้างและโยงไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 9 คนรวมมั้งนายทุนที่บงการอยู่เบื้องหลัง โดยคาดว่าจะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเสนอขอหมายจับกุมผู้ที่ร่วมกระทำความผิดลักลอบเผาป่าพรุควนเคร็งในล็อตแรก ซึ่งเป็นกลุ่มของ “เจ้หอม”นายทุนจาก จ.สุราษฏร์ธานี ได้อย่างน้อย 10 คนภายในอาทิตย์นี้อย่างแน่นอน

ต่อมานายกวีวัฒน์ หยูทอง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ดอนตรอ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางเขาพบ รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ไฟไห้ป่าพรุควนเคร็ง โดยนายกวีวัฒน์ กล่าวว่า ตนมีวิถีชีวิตอยู่กับป่าพรุมานานแล้ว ยืนยืนว่าในส่วนของ อ.เฉลิมพระเกียรติ ไฟที่ลุกไหม้นั้นไม่ได้เป็นไฟป่า ไม่มีไฟป่าแน่นอน แต่เกิดจากคนตั้งใจจุดที่สำคัญเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดไฟไหม้ป่าพรุด้วย

โดยนายทุนมีเป้าหมายเข้าไปยึดครองพื้นที่ป่าพรุหลายจุดแต่ละจุดหลายร้อยไร่ หรืออาจจะถึงพันไร่ สำหรับพื้นที่ที่มีการครอบครองซึ่งเป็นพื้นที่แนวเขตที่ทางราชการประกาศเป็นพื้นที่ สปก.เพื่อจัดสรรให้ประชาชนได้อาศัยทำกิน เข้าใจว่าคนละประมณ 30 ไร่ อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์ด้วยการแปรภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งพื้นที่ สปก.เชื่อมต่อกับพท้นที่ป่าพรุ โดยในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ มีอยู่หลายหมู่บ้านที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์ซึ่งดำเนินการตามขั้นตอนไล่ไปทีละหมู่บ้าน

เนื่องจากระเบียบกำหนดให้ผู้ที่จะได้รับการจัดสรรคพื้นที่ สปก.จะต้องเป็นชาวบ้านในพื้นที่ แต่ในส่วนของนายทุนจะใช้ชื่อชาวบ้านนอมีนีมาอ้างสิทธิ์ครอบครองแทน พื้นที่เป้าหมายแปลงใหญ่ที่มีการรังวัด ปักเสาปักปันแนวเขตคาบเกี่ยวระหว่างอำเภอเฉลิมพระเกียรติกับอำเภอร่อนพิบูลย์ ซึ่งในส่วนของแนวเขตตนและผู้นำท้องถิ่นอยากให้มีความชัดเจนเพราะในการดูแลต่อไปผู้ใหญ่บ้าน กำนันจะได้รู้ว่าพื้นที่จุดนั้น ๆ ติดอยู่ในเขตหมู่บ้านใด ตำบล อำเภอไหน ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันจะสามารถดูแลได้ถูกต้อง ซึ่งในจุดที่มีการรังวัด ปักเสาปูนแบ่งล็อคกันนั้นมีชาวบ้านมาแจ้งให้ตนทราบเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.ถึงต้นเดือน ส.ค. ก่อนเกิดไฟไหม้ประมาณ 1 อาทิตย์ ตนจึงลงไปตรวจสอบพบว่ามีการรังวัด และทาสีต้นไม้ จัดแบ่งเป็นล็อคๆ ละประมาณ 30 ไร่ โดยกลุ่มคนทั้ง 9 คนตนไม่รู้จักมาก่อน แต่คงไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างแน่นอนหลังจากนั้นเกิดไฟไหม้รุนแรงตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.2562 หลังไฟไหม้ตนเข้าไปตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่ามีการนำเสาปูนมาปักแบ่งแนวเขตแต่ละล็อคเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายทุนที่บงการจุดไฟเผาป่าพรุควนเคร็งมีอยู่ 3-4 ราย โดยกลุ่มของเจ้หอม จาก จ.สุราษฎร์ธานี จะดำเนินการจุดไฟเผาในพื้นที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ และ อ.ร่อนพิบูลย์ ส่วนพื้นที่ อ.เชียรใหญ่ อ.หัวไทร เป็นนายทุนจาก จ.สงขลา โดยกลุ่มนี้มีนายทุนใหญ่จากมาเลเซียบงการอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง ส่วนในพื้นที่ อ.ชะอวด เป็นกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นแกนนำเรียกร้องสิทธิทำกินเพื่อคนจนในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งในปัจจุบันแกนนำคนดังกล่าวถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชนจากกรณีไปแอบอ้างหลอกลวงเรียกเงินค่าดำเนินการจากชาวบ้านได้เงินหลายล้านบาท จนเมื่อเดือน ก.ค.2562 ที่ผ่านมาแกนนำคนดังกล่าวถูกศาลจังหวัดปากพนัง พิพากษาจำคุกหลายปี แต่ยังคงมีพรรคพวกในกลุ่มที่มีบารมีเป็นผู้สั่งการจุดไฟเผาป่าพรุควนเคร็งแทน