สงครามการค้าพ่นพิษจีเอฟไอโลก

สงครามการค้าพ่นพิษจีเอฟไอโลก

เว็บไซต์นิกเคอิรายงานว่า การลงทุนโดยตรงของบริษัทต่างชาติที่เป็นตัวขับเคลื่อนโลกาภิวัตน์ กำลังชลอลง สะท้อนว่าภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นในช่วงที่กระแสการค้าโลกกำลังเดินหน้าสู่การกีดกันทางการค้า

ตัวเลขการลงทุนโครงการใหม่ทั้งระบบช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 ที่บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศอื่นจำเป็นต้องสร้างโรงงาน ศูนย์วิจัย และสำนักงาน ลดลงเหลือเท่าระดับเดียวกับช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ที่เศรษฐกิจโลกยังคงเสียหายจากวิกฤติการเงินสหรัฐ

ข้อมูลจากเอฟดีไอมาร์เก็ตส์ ฐานข้อมูลของไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุว่า จำนวนการลงทุนใหม่ทั้งระบบ (จีเอฟไอ) พุ่งสูงสุด 8,152 โครงการระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.2561 จากนั้นก็ลดลงตลอด 1 ปีต่อมา อยู่ที่ 6,243 โครงการในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

พร้อมกันนั้นการถอนการลงทุนจากต่างแดนก็เพิ่มขึ้น การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ประกาศเมื่อเดือน ก.ค.ว่า ยอดเอฟดีไอโลกรวมถึงการระดมทุนผ่านการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (เอ็มแอนด์เอ) เมื่อปี 2561อยู่ที่ 30.9 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลง 4% จากปี 2560 เป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ภาคธุรกิจไม่มั่นใจในอนาคตมากขึ้นทุกทีในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนคุกรุ่น ตัวอย่างเช่น เดลต้าอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทผลิตเครื่องสำรองไฟจากไต้หวัน เพิ่มการผลิตในประเทศโดยลดสัดส่วนการผลิตในจีนลง ด้านซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ ปิดโรงงานผลิตสมาร์ทโฟนในเมืองเทียนจินไปแล้ว

ช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ภาคธุรกิจที่รุกเข้าสู่จีน เอเชีย และยุโรป ลดลง 30% จากปี 2561 ที่เข้ามาลงทุนในญี่ปุ่นลดลงกว่า 20% แม้แต่แอฟริกาที่คาดว่าตัวเลขจะมากในฐานะปราการด่านสุดท้าย ก็กลายเป็นว่าจีเอฟไอในภูมิภาคนี้ลดลงเกือบ 10%

จำนวนภาคธุรกิจสหรัฐเข้าไปลงทุนในจีนครึ่งปีแรกลดลงกว่า 10% จากปี 2561 มาอยู่ที่ 104 โครงการ โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์ “การผลิต” เช่น สร้างโรงงานเพื่อได้เปรียบจากแรงงานจีนที่ราคาไม่แพง กลับลดลงกว่า 30% ชี้ให้เห็นชัดเจนถึงผลกระทบจากการที่สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากจีนในสหรัฐก็ลดลงฮวบฮาบกว่า 50% เหลือ 30 โครงการ โดยเฉพาะการลงทุนด้านออกแบบ วิจัยและพัฒนา ดิ่งหนัก เนื่องจากสหรัฐกังวลหนักว่าจีนจะมาแย่งความเป็นเจ้าด้านเทคโนโลยี