“โปรเอนจี้”เอนเนอจี้บาร์-เจล ต่อยอดข้าวหอมมะลิสุรินทร์

“โปรเอนจี้”เอนเนอจี้บาร์-เจล ต่อยอดข้าวหอมมะลิสุรินทร์

“โปรเอนจี้” เอนเนอจี้บาร์ ผลิตภัณฑ์สัญชาติไทยต่อยอดจากข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ ผสมผสานองค์ความรู้โภชนาการงานวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬาตอบโจทย์นักกีฬา คนออกกำลังกาย พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทยออกสู่ตลาดโลก

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยคือ “ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ” จนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวนารุนแรง แนวทางการแก้ปัญหาที่ออกมาใช่ว่าจะครอบคลุม และเยียวยาความเดือดร้อนชาวนาได้มากเพราะส่วนใหญ่เป็นแค่มาตรการเฉพาะที่ออกมาสยบแรงกระเพื่อมจากการเรียกร้องของชาวนาเท่านั้น

ไกรยุทธ  คงทวี  ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท บริษัทจูแอม เฮิร์บ แอนด์ เฮลท์ จำกัด ทายาทรุ่นสองของโรงสีข้าวในจ.สุรินทร์ บอกว่า จากปัญหาดังกล่าวจึงนำมาสู่แนวคิดเรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวในพื้นที่จ. สุรินทร์มาต่อยอดสร้างมูลค่าเพื่อช่วยให้สินค้าเกษตรอย่างข้าวหอมมะลิ และผลไม้อื่นๆ ในพื้นที่มีราคาเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจะได้ไม่ต้องวิตกกังวลกับปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำอีกต่อไป ที่สำคัญสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางทั่วประเทศ ไม่เฉพาะแค่ข้าวสารเท่านั้น  

แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา “ฉัตรวรรณา คงทวี” คุณแม่ของไกรยุทธ ได้แปรรูปข้าวมาเป็นผลิตภัณฑ์โอทอป เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่ฯลฯ จนได้รับการตอบรับพอสมควรแต่ไม่สามารถต่อยอดไปต่อได้ เพราะผลิตภัณฑ์ไม่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากผลิตภัณฑ์โอทอปที่มีอยู่ทั่วประเทศ

2 ปีที่ผ่านมาหลังจากเรียนจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชายหนุ่มจึงเกิดแนวคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ให้พลังงานสูงแบบสำเร็จรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักกีฬา และคนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายในรูปแบบของเอนเนอจี้บาร์ ภายใต้แบรนด์ โปรเอนจี้ (ProEngy) ร่วมกับ กัณฑ์ สง่าแสง ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งมีพื้นฐานความรู้มาจากคณะวิทยาศาสตร์อาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาช่วยทำการตลาด

เนื่องจากปัจจุบันอาหารที่ให้พลังงานเริ่มเข้ามีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทย เพราะคนเริ่มหันมาออกกำลังกายมากขึ้น สังเกตได้จากการจัดกิจกรรมวิ่ง ปั่นจักรยานฯลฯ รวมทั้งการขยายตัวของฟิตเนส ที่กระจายอยู่ทั่วแทบทุกพื้นที่ในชุมชนต่างๆส่งผลให้ความต้องการอาหารที่ให้พลังงานสูงแบบจานด่วนได้รับความสนใจมากขึ้นโดยกลุ่มเป้าหมายแรกคงหนีไม่พ้นนักกีฬา ที่ต้องการสารอาหารครบถ้วน

ถ้าอยากอยู่ต่อไปขายข้าวอย่างเดียวไม่ได้เพราะ ต้นทุนสูงราคาขายต่ำจำเป็นต้องปรับตัว เพราะเป็นธุรกิจเล็กจึงหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนงานวิจัย โรงงานผลิตเพื่อแปรรูปและพัฒนาสินค้าที่เป็นนวัตกรรมออกมาสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยข้าวยังคงอยู่เพราะเป็นวัตถุดิบและเป็นรากเหง้าของเรา

จากพื้นฐานที่ ไกรยุทธ เป็นนักกีฬารักบี้ฟุตบอลมาก่อน จึงรู้ถึงความต้องการของคนที่เป็นนักกีฬาว่าจะให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการมาก ซึ่งในต่างประเทศจะมีผลิตภัณฑ์กลุ่มเอนเนอจี้ ฟูดส์ แต่ในประเทศมีผลิตภัณฑ์อาหารในกลุ่มนี้น้อย ทั้งที่มีวัตถุดิบที่สามารถผลิตได้ในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าต่างประเทศ คิดนำวัตถุดิบที่มีในพื้นที่ อาทิ ข้าวหอมสุรินทร์ มาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอนเนอจี้ บาร์พร้อมรับประทานในรูปแท่ง ซึ่งเป็นการทำวิจัยและพัฒนาร่วมกันกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยใช้เวลาในการทำวิจัยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนานกว่า 1 ปี 

“โปรเอนจี้ เป็นเอนเนอจี้ บาร์ ผลิตภัณฑ์สัญชาติไทยที่ทำมาจากข้าวหอมสุรินทร์ ผ่านกระบวนการวิจัยและผลิตให้เป็นอาหารพร้อมรับประทานที่มีคุณค่าโภชนาการสำหรับนักกีฬาที่ต้องการพลังงานสูง และมีคุณค่าทางโภชนาการตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งบาร์ 1 แท่งให้พลังงาน 260 แคลอรี เทียบเท่ากับการกินกล้วยหอม 3 ลูก หรือขนมปังโฮลวีต 5 แผ่น ไข่ต้ม 4 ฟอง”

หลังทำตลาดเอนเนอจี้ บาร์มา 2 ปี ได้รับผลตอบรับดีและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีจุดขายที่โดดเด่นและชัดเจนตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากขึ้น

โดยแนวทางการทำตลาดจะเน้นการสื่อสารผ่านโซเซียลมีเดียไม่ว่าทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เว็บไซต์ พร้อมกันนี้กระจายสินค้าไปสู้ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าสุขภาพ ร้านจักรยาน อุปกรณ์วิ่งฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีจุดกระจายสินค้าในกรุงเทพฯ 7แห่ง โดยในปีนี้จะขยายไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งยอดขายหลักจะมาจากการฝากขายผ่านร้านค้า70% ถือเป็นสัดส่วนมากกว่าออนไลน์ ที่มีอยู่30% เพราะพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคเน้นซื้อนำไปใช้ทันที มากกว่าซื้อล่วงหน้า หรืออาจไปซื้อในบูธตามงานต่างๆที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

“2 ปีที่ผ่านมาดีขึ้น ยอดขายโตขึ้นจากเดิม 10% อยู่ที่ 6-8 หมื่นบาทต่อเดือน ทำให้มีกำไรพอที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ เอนเนอจี้ เจลออกมาเสริมเป็นทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมและเชื่อว่าด้วยจุดเด่นของการเป็นเครื่องดื่มเจลทำให้ดูดซึมเร็ว รับประทานง่ายขึ้น จะทำให้ได้รับนิยมไม่แพ้กับบาร์ในลักษณะการซื้อรับประทานคู่กันราคาไม่น่าจะเกิน 50 บาทต่อซองขนาด 45-50 มิลลิลิตร ขณะที่สินค้านำเข้าราคาเกือบ100 บาทต่อซองขนาด 30-40มิลลิลิตร ล่าสุดได้สูตร กำลังอัพเกลเพื่อทำต้นแบบก่อนทดลองตลาดและวางจำหน่ายปี2563 หลังจากได้รับทุนเท็ด ฟันด์สนับสนุน

ไกรยุทธ  เผยถึงทิศทางการตลาดว่า แผนระยะสั้นจะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น เช่น กิจกรรมการเดินป่า ปีนเขา วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ไม่เฉพาะแค่กิจกรรมวิ่งหรือปั่นจักรยานเท่านั้น ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวยิ่งต้องปรับตัว เพราะคนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง ยิ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกหรือทดแทนต้องทำการบ้านหนัก ขณะเดียวกันต้องสร้างการรับรู้แบรนด์โปรเอนจี้ทั้งที่เป็นบาร์และเจล โดยการขยายร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายเพิ่ม ในหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ โคราช ภูเก็ต ที่มีกิจกรรมกีฬา ตั้งเป้าเดือนละ 25 ร้านค้าต่อเดือน

รวมถึงการหาอินฟลูเอนเซอร์ ที่เข้ามาช่วยทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านทางโซเซียลมีเดีย รวมทั้งการนำสินค้าเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ สนับสนุนนักกีฬาทีมชาติไทย ในอนาคตเพื่อให้ได้รับประทานอาหารที่ถูกตามหลักโภชนาการ ล่าสุดเข้าไปสนับสนุนทีมนักวิ่งจุฬาฯ ทีมไตรกีฬา จ. สุรินทร์ 

สิ่งเหล่านี้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรู้รู้แบรนด์ในระยะสั้น ส่วนในระยะกลางเน้นการเพิ่มยอดขายกับการทำผลิตภัณฑ์ให้มีความคงที่ก่อนขยายตลาดไปต่างประเทศ เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านก่อน เพราะโรงงานอยู่ใกล้แนวชายแดนสามารถส่งของไปยังกัมพูชาได้ภายในวันเดียวต่อไปต้องออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศเพื่อหาตัวแทนจำหน่าย

ปัจจุบันขึ้นสู่ปีที่ 3 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้าน ถือเป็นการเติบโตก้าวกระโดด และยังมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้อีกจากการแตกไลน์เครื่องดื่มเจล เพราะตลาดอาหารสำหรับนักกีฬายังมีช่องว่างตลาดค่อนข้างมากเนื่องจากคู่แข่งน้อย จึงมีโอกาสเพิ่มยอดขายไปแตะที่หลัก 5 ล้านภายใน 5 ปีข้างหน้าถึงจุดคุ้มทุน พร้อมที่ขยายตลาดไปสู่แมสมาร์เก็ตในรูปแบบของ ‘เฮลท์ตี้สแน็ค’เพื่อขยายฐานลูกค้าทั่วไปที่ให้ความสนใจสุขภาพมากขึ้น

------------------------

key to sucess

แผนสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า

-ต้องรอบคอบมากเพราะทุนน้อย

-ปรับตัวเร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

-เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มก่อนแมส

-ต้องรู้จักตัวเอง ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน

-ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านนำมาประยุกต์ใช้