STEC - ซื้อ

STEC - ซื้อ

ฐานใหม่ของอัตรากำไรขั้นต้น

Event

ปรับประมาณการ และอัพเดตแนวโน้มของบริษัท

lmpact

อัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q62 ลดลงเหลือ 5.1% เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น

อัตรากำไรขั้นต้นของ STEC ใน 2Q62 อยู่ที่ 5.1% ต่ำกว่าประมาณการของเราที่ 7.3% เนื่องจาก i) อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการภาครัฐต่ำเกินคาด ii) สัดส่วนรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้ าลดลงเนื่องจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้ า SPP 12 โรงเสร็จตั้งแต่ 1Q62 ทำให้รายได้ในปีนี้มาจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานกว่า 90% โดยในปัจจุบัน backlog ของโครงการโรงไฟฟ้ ายังอยู่ในช่วงต้นของโครงการซึ่งจะยังไม่ช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมดีขึ้น

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-63 ลง 32.1% และ 31.1% เพื่อสะท้อนฐาน margin ใหม่

อัตรากำไรขั้นต้นใน 1H62 อยู่ที่ 6.2% เราปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2562-63 ลงจากเดิม 8.0% และ 8.1% เหลือแค่ 5.9% และ 6.0% เพื่อสะท้อนถึงโครงสร้าง backlog ที่มีสัดส่วนรายได้จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น (90% ของ backlog ในปัจจุบัน) เราได้ปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการภาครัฐลงจากเดิม 7.5% เหลือ 6.0% และคงประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการโรงไฟฟ้า และน้ำมันและก๊าซไว้ที่ 12.0%

ยังคงมองบวกกับ backlog ที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มที่จะได้งานใหม่ ๆ เพิ่ม

STEC มี backlog ในมือ 9 หมื่นล้านบาทเมื่อสิ้นงวด 2Q62 ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ไปได้จนถึงปี 2564 ในขณะที่ BGSR (BTS,GULF,STEC,RATCH) เป็น consortium ที่เสนอราคาต่ำสุดในการประมูลโครงการ Motorway O&M M6 (บางปะอิน-โคราช) และ M81 (บางใหญ่ - กาญจนบุรี) โดยต่ำกว่าราคากลางถึง 36% เราคาดว่า backlog จากสองโครงการนี้จะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้อัตรากำไรขั้นต้นของโครงการอาจจะถูกกดดันแต่งานโยธาก็มีมูลค่าแค่ 3-4 พันล้านบาทเท่านั้น ในขณะเดียวกัน STEC ก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้ backlog เพิ่มจากโครงการเมืองสนามบินอู่ตะเภา (คาดว่า backlog ในเฟสแรกจะมีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากศาลปกครองกลางตัดสินยกฟ้องคำร้องของกลุ่ม CP ซึ่งหมายความว่า CP consortium เสียสิทธ์ิในการต่อสู้คดีที่เกี่ยวกับการประมูลโครงการนี้ไป เรามองว่า BBS consortium มีโอกาสดีกว่า GRAND consortium (GRAND,AAV,CNT) ในแง่ของพันธมิตรที่รวมตัวกัน โดยคณะกรรมการประเมินผลการประมูลจะพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค (ซองที่ 2) ในสัปดาห์หน้า)

Valuation & Action

เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2563 ที่ 21.4 บาท อิงจาก PER ที่ 25x (PER เฉลี่ยระยะยาว +1 S.D.) ลดลงจาก PER ที่ 30x (PER เฉลี่ยระยะยาว +2 S.D.) เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอลง ทั้งนี้ ราคาหุ้นร่วงลงมาแรงถึง 21.2% ตั้งแต่ที่บริษัทประกาศงบ 2Q62 ออกมาน่าผิดหวัง ทำให้เรามองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนฐานอัตรากำไรขั้นต้นใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว โดยราคาหุ้นในปัจจุบันใกล้เคียงกับ PB เฉลี่ยระยะยาว -2 S.D. ซึ่งถือว่าไม่แพง เรามองว่ากระแสข่าวบวกจากการเปิดประมูลโครงการสนามบินอู่ตะเภา และรถไฟฟ้ า MRT สายสีชมพู และสายสีเหลือง (6-7 พันล้านบาท) จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น

Risks

มีการเลื่อนกำหนดการก่อสร้าง, ขาดแคลนแรงงาน และ ต้นทุนค่าวัสดุแพงขึ้น