สวทช.ทุ่มงบ 3.4 พันล้านบาท ตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี ปักธง“อีอีซีไอ”นำงานวิจัยด้านชีวภาพมาต่อยอดผลิตสินค้าระดับอุตสาหกรรม ทำให้เกิดสินค้านวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมาก ช่วยยกระดับไทยเป็นฮับไบโอเบสของอาเซียน
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) ซึ่งหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีเปิดหน้าดินเพื่อเริ่มการก่อสร้าง EECi Phase 1A เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2562 การดำเนินงานทุกด้านก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2564
ทั้งนี้ โครงการที่สำคัญใน EECi คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่และอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลผลิตจากภาคเกษตรกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะมี BIOPOLIS เป็นเมืองนวัตกรรมหลักในการขับเคลื่อน โดยจะจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี ระดับขยายขนาดที่ใกล้เคียงกับระดับการผลิตในระดับอุตสาหกรรมรองรับวัตถุดิบและการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้มาตรฐาน GMP หรือการผลิตสินค้าที่ใช้ในการบริโภค และ Non GMP หรือสินค้าที่ใช้ภายนอกร่ายกายมนุษย์
เริ่มสร้างโรงงานปี 2563
สำหรับโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีแห่งนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ โรงงานมาตรฐาน GMP และโรงงาน Non GMP ซึ่งจะสร้างไปพร้อมกันจะใช้เงินลงทุน 3.4 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดการสรรหาที่ปรึกษาเพื่อเข้ามาออกแบบทางวิศวกรรม จะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2563 ในส่วนของอุปกรณ์ขนาดใหญ่และตัวอาคาร ก่อสร้างเสร็จในปี 2564 และจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2565 จากนั้นก็จะจัดตั้งนิติบุคคลเข้ามาบริหารงาน โดย สวทช. จะร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอรีไฟเนอรีจากฝั่งยุโรปที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้สูง
“โรงงานแห่งนี้มีมูลค่าการก่อสร้างสูงกว่าโรงงานทั่วไป เพราะเครื่องจักรจะต่างจากดรงงานปกติที่ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งอะไรมาก เพราะได้คำนวณปรับให้เหมาะสมในจุดที่ดีที่สุดในการผลิตสินค้าอยู่แล้ว แต่ในโรงงานต้นแบบสินค้าชนิดต่างๆ ที่จะนำมาผลิตยังไม่รู้ค่าการปรับตั้งเครื่องจักรที่เหมาะสมในการผลิต ดังนั้นเครื่องจักรจะต้องปรับแต่งได้ทุกส่วนเพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในการผลิตสินค้า รวมทั้งจะต้องรองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับสินค้าที่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นราคาเครื่องจักรจึงสูงมาก”
ผลิตสินค้าต่อยอดภาคเกษตร
โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีนี้ ในส่วนของโรงงานมาตรฐาน GMP จะเน้นในการนำผลผลิตทางการเกษตรผลิตสารอาหารฟู้ดฟังก์ชัน อาหารทางการแพทย์มาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง ส่วน Non GMP จะผลิตสารเคมีชีวภาพ พลาสติกชีวภาพที่มีหลากหลายชนิด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรของไทยมากกว่าการนำไปแปรรูปเป็นสินค้าขั้นต้น เช่น นำอ้อยมาผลิตน้ำตาล นำข้าวมาผลิตเป็นแป้ง
“โรงงานแห่งนี้จะทำให้เกิดการต่อยอดจากงานวิจัยระดับห้องปฏิบัติการไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมโรงงานต้นแบบเพื่อทดลองตลาด ซึ่งหากประสบความสำเร็จผู้ประกอบการก็จะไปลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าในเชิงอุตสาหกรรมจำหน่ายต่อไป”
นอกจากนี้ โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (เซอร์คูลาร์อีโคโนมี) และลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยการวิจัยนำของเสียหรือวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาผลิตเป็นสินค้าที่เพิ่มมูลค่าโดยใช้เทคโนโลยีระดับสูง เช่น การนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาผสมกับสารชนิดอื่นๆ ผลิตเป็นสารเคมีชีวภาพที่มีพื้นฐานของคาร์บอน, การนำลิกนิน (Lignin) จากวัสดุแหลือทิ้งการเกษตร หรือการดึงเซลลูโลสจากฟางข้าวมาผลิตสินค้ามูลค่าสูง
“ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยจำนวนมากที่ไม่สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้าได้ เพราะหลังจากได้ผลการทดลองในห้องปฏิบัติการแล้วไม่มีเงินลงทุนตั้งโรงงานต้นแบบ เพื่อทดสอบผลิตเชิงอุตสาหกรรม ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนสูตรระบบการผลิตต่างๆ จนมั่นใจ จากนั้นจึงจะนำไปผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมได้"
ดึงรายใหญ่รวมผลักดัน
ทั้งนี้ หลังจากที่มีโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีแล้ว บริษัทต่างๆ สามารถเข้ามาเช่าโรงงานเพื่อทดสอบผลิตสินค้าต้นแบบได้ทันที ช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้ไปได้มาก สุดท้ายจะทำให้งานวิจัยของไทยแปรสภาพไปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมได้อีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลบวกในระบบเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล
ในส่วนของลูกค้าที่มาใช้บริการ ขณะนี้ได้มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ 6-7 ราย ได้ให้ความสนใจใช้บริการ เช่น กลุ่มมิตรผล, พีทีทีจีซี, ไทยแอลกอฮอล์ ทั้งนี้แม้ว่าธุรกิจเหล่านี้จะมีขนาดใหญ่มีเงินลงทุนสูง แต่การปิดสายการผลิตในโรงงาน เพื่อปรับแต่งเครื่องจักรทดลองผลิตสินค้าใหม่ๆ ก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก และกระทบต่อสายการผลิตเดิม
ดังนั้นหากเข้ามาใช้บริการโรงงานไบโอรีไฟเนอรีก็จะช่วยลดต้นทุนได้มาก รวมทั้งยังเปิดให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเข้ามาใช้บริการได้ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถนำงานวิจัยมาต่อยอดขยายไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ได้ในอนาคต โดยมั่นใจว่าโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีจะมีรายได้เข้ามาเลี้ยงตัวเองในระยะยาวได้
แห่งแรกของอาเซียน
นายณรงค์ กล่าวว่า โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีถือได้ว่าเป็นแห่งแรกในอาเซียนซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีด้านชีวภาพของไทยให้ก้าวมาเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นฮับไบโอเบสของอาเซียน และจะขยายไปตั้งโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ ภูมิภาคอเมริกาใต้ และแอฟริกา เพื่อให้ไทยก้าวเข้ามามีบทบาที่เด่นชัดในเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพ
นอกจากนี้ โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี ยังช่วยสร้างบุคลากรในสาขาเทคโนโลยีใหม่ๆในอนาคต เพื่อรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เช่น วิศวกรที่ทำงานในเรื่องของคาร์บอน และวิศวกรสาขาใหม่ๆ รวมทั้งยังช่วยฝึกทักษะให้กับบุคลากรที่เข้ามาทำงานในโรงงาน เมื่อสินค้าผ่านการทำสอบและได้ตั้งโรงงานผลิตเชิงอุตสาหกรรมแล้ว บุคลากรเหล่านี้ก็พร้อมเข้าไปทำงานได้ทันที
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-กรุงศรีชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแรง โอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยต่ำ หั่นจีดีพีเหลือ2.9%ส่งออกติดลบ2.8%
-เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติปี 2540
-จับตาประกาศจีดีพี เศรษฐกิจไทยไตรมาส2 ชะลอโตแค่2.7%
-อาเซียนจะอยู่อย่างไรในเศรษฐกิจโลกแบบนี้