สิงคโปร์ดูดสัญญาลงทุน 8 พันล.ดอลล์

สิงคโปร์ดูดสัญญาลงทุน 8 พันล.ดอลล์

อีดีบีคาดว่ามูลค่าสัญญาการลงทุนทั้งปี 2562 จะอยู่ระหว่าง 8,000 ล้าน-1 หมื่นล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงตัวเลขในปีก่อน ๆ

สิงคโปร์ดูดสัญญาการลงทุนมูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แม้เผชิญกับแรงต้านทางเศรษฐกิจรอบด้าน และสงครามการค้าสหรัฐ-จีน

คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจสิงคโปร์ (อีดีบี) เผยผลสำรวจทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สิงคโปร์ดึงดูดข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 8,100 ล้านดอลลาร์ในภาคการผลิตและภาคบริการสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสิงคโปร์ดึงดูดสัญญาการลงทุนได้ 5,300 ล้านดอลลาร์

นอกจากนั้น ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ขั้นต่ำของอีดีบีสำหรับมูลค่าสัญญาการลงทุนทั้งปี 2562 ซึ่งอยู่ระหว่าง 8,000 ล้าน ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับตัวเลขในปีก่อน ๆ โดยเมื่อปีที่แล้ว สิงคโปร์ดึงดูดข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์

นายซ่ง เซ็ง วุน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ตัวเลขเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่เป็นใจ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเคมี และว่าความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตในระยะสั้น ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นในสิงคโปร์ และปัญหาด้านแรงงาน ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบรรดาบริษัททุนหนา

“บรรดานักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ยังคงเป็นสหรัฐและยุโรป ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ” นายซ่งระบุ และว่า “บริษัทอเมริกันยังคงครองภาคเทคโนโลยี เคมี และบริการข้อมูลตามมาด้วยบริษัทยุโรป”

ไมครอน บริษัทเทคโนโลยี เฟซบุ๊ค ยักษ์ใหญ่สังคมออนไลน์ของสหรัฐ และไดสัน ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของอังกฤษ เป็นบริษัทชื่อดังเพียงไม่กี่รายที่ได้เข้ามาตั้งร้านค้าในสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม นายชัว ฮัก บิน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเมย์แบงก์ เตือนว่า แม้บริษัทอาจแสดงความมุ่งมั่นที่จะลงทุนมหาศาล แต่ตัวเลขการลงทุนจริงอาจต่ำกว่านี้มาก

“เราหวังว่าสัญญาการลงทุนเหล่านี้จะกลายเป็นตัวเลขการใช้จ่ายจริงและการสร้างงาน เนื่องจากในอดีตมีอยู่หลายครั้งที่ตัวเลขในข้อตกลงกับตัวเลขการลงทุนจริงไม่สัมพันธ์กัน”

การเปิดเผยมูลค่าสัญญาการลงทุนมีขึ้นในช่วงเวลาสำคัญขณะที่สิงคโปร์ต้องการกระตุ้นการใช้จ่ายด้านเงินทุน เพื่อชดเชยภาวะขาลงของภาคส่งออก

นายชัวระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าสิงคโปร์จะได้ประโยชน์จากการโยกย้ายซัพพลายเชนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และดูเหมือนว่าสิงคโปร์จะได้เงินลงทุนจากสหรัฐมากกว่าจีน