‘พาณิชย์’เดินหน้าใช้เอฟทีเอดันผู้ประกอบการนมโคแปรรูปบุกตลาดโลก

‘พาณิชย์’เดินหน้าใช้เอฟทีเอดันผู้ประกอบการนมโคแปรรูปบุกตลาดโลก

"วีรศักดิ์" ลงนามเอ็มโอยู โครงการ "จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ" หวังใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ช่วยอุตสาหกรรมสินค้าโคนม และนมโคแปรรูปของไทยให้แข่งขันได้

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดตัวโครงการ “จัดทัพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วยเอฟทีเอ” และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมแปรรูปของไทย กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า การลงนามใน MOU ครั้งนี้ เป็นการช่วยเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพื่อขยายโอกาสการส่งออกให้กับนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย และยังเป็นการช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์นมโคในภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลทำให้อุตสาหกรรมสินค้าโคนมไทยมีศักยภาพแข่งขันได้ในตลาดโลก


ปัจจุบันประเทศคู่ค้าเอฟทีเอหลายประเทศของไทย อาทิ อาเซียน และจีน ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์นมโค อาทิ นมพร้อมดื่ม โยเกิร์ต และเนย ที่ส่งออกจากไทยแล้ว ที่ผ่านมาไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์นมหลายชนิด เช่น นมพร้อมดื่ม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย นมข้นหวาน เป็นต้น โดยเฉพาะไปยังตลาดอาเซียน และจีน โดยในปี 2561 มูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์นมของไทยคิดเป็น 480 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.5 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ ได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้านมโคแปรรูปประเภทต่างๆ เช่น โยเกิร์ต นมยูเอชที นมสดพาสเจอร์ไรส์ ไอศกรีม เนยแข็ง นมอัดเม็ด เป็นต้น จำนวน 10 ราย จากผู้สมัคร 54 ราย เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือก จะได้รับคำปรึกษาเชิงลึก (Coaching) เรื่องการเพิ่มศักยภาพการผลิต และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจะได้ร่วมอบรม Boot Camp เน้นการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี เพื่อเข้าสู่ตลาดประเทศคู่ค้าเอฟทีเอ และสร้างความเข้าใจในตลาดของสินค้าเป้าหมาย


หลังจากนั้นจะพาผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไปเยี่ยมชมงานแสดงสินค้า สำรวจตลาดค้าปลีก จับคู่ธุรกิจและสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับผู้ประกอบการ ผู้นำเข้าในประเทศอาเซียน ซึ่งครั้งนี้จะไปชมงานแสดงสินค้าที่ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ประชาชนนิยมบริโภคสินค้าที่หลากหลาย และนิยมสินค้าอาหารพรีเมี่ยม ที่จะช่วยกระตุ้นการยกระดับพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ คาดว่า เมื่อเสร็จสิ้นโครงการฯ คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนมและผลิตภัณฑ์นมของไทยได้รับองค์ความรู้ในหลายมิติ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ พฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในด้านต่างๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีให้มากที่สุด รวมทั้งสามารถสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างผู้ประกอบการของไทยกับผู้นำเข้าตลาดเป้าหมาย ได้มากขึ้น