แกว่งตัว รอปัจจัยใหม่

แกว่งตัว รอปัจจัยใหม่

อย่างไรก็ตาม กระแส Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง (Net sell 4.4 หมื่นลบ. MTD.) ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้ ดังนั้น ให้เน้นการเข้าซื้อแบบเก็งกำไร

ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวขึ้น 5.86 จุด (+0.36%) ปิดที่ระดับ 1,637 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.7 หมื่นล้านบาท ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ฟื้นตัวขึ้นหลัง US bond yield ดีดตัวขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลสถานการณ์ Inverted yield curve ประกอบกับได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศซึ่งเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุน สำหรับนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 4,113 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,548 ล้านบาท รวมถึง Net Short TFEX จำนวน 1,727 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,630 – 1,645 จุด โดยภาวะตลาดได้ปัจจัยบวกจากจีนและเยอรมันเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยธนาคารกลางจีนปรับปรุงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้เงินกู้เอกชนต่ำลง ส่วนเยอรมันเตรียมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 หมื่นล้านยูโร นอกจากนี้ยังได้ sentiment เชิงบวกจาก Trade war ที่ผ่อนคลายลงหลังสหรัฐขยายเวลาให้ Huawei สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐออกไปอีก 90 วัน อย่างไรก็ตามกระแส Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง (Net sell 4.4 หมื่นลบ. MTD.) ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้ ดังนั้นให้เน้นการเข้าซื้อแบบเก็งกำไร

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่ได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ กลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มท่องเที่ยว AOT, MINT, ERW กลุ่มนิคมฯ AMATA, WHA 
  • หุ้น Defensive stock ( INTUCH, ADVANC, BEM , BTS, BDMS ,BCH ,CHG , GPSC , BGRIM , TPCH, EA, TTW ,CPALL )

หุ้นแนะนำวันนี้ : BCH (ปิด 15.7 ซื้อ/เป้า 19 บาท) มองผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้วและจะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ 3Q19 เนื่องจากเป็นช่วง High season ของธุรกิจ ขณะเดียวกันยังมี Upside จากประเด็นการขอปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลจากประกันสังคมเพราะบริษัทไม่ได้ปรับขึ้นค่ารักษาจากส่วนนี้มานานแล้ว (ขึ้นครั้งสุดท้ายคือ ก.ค.ปี 2017) โดย BCH และ CHG ถือเป็นโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าประกันสังคมมากที่สุดของกลุ่ม (33%), JMART (ปิด 11 ซื้อเป้า Bloomberg Consensus 14 บาท ) ได้ Sentiment บวกจากข่าวสหรัฐขยายเวลาทำธุรกรรมกับหัวเว่ยออกไปอีก 90 วัน เท่ากับว่ามือถือหัวเว่ยในตลาดอื่นๆทั่วโลกจะยังใช้งานระบบ Android และแอปต่างๆของ Google ได้ อาทิ YouTube, Google Maps ทำให้ผู้ขายมือถือโดยเฉพาะ JMART ไม่ได้รับผลกระทบจากการแบนดังกล่าว

KSS report วันนี้: GPSC (ปิด 70.25 ซื้อ/เป้า 78 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (+) Trade & Tech war 90 เดิมสหรัฐประกาศให้หัวเว่ย อยู่ใน Entity list หรือกลุ่มบริษัทที่จะทำการค้ากับอเมริกาจะต้องได้รับอนุญาติจากรัฐบาลสหรัฐก่อน แต่ภายหลังสหรัฐประกาศยกเว้นการแบนดังกล่าวชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันโดยจะหมดอายุมาตรการในวันที่ 19 ส.ค.19 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศขยายระยะเวลาในการอนุญาตให้บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี สามารถซื้อสินค้าจากบริษัทสหรัฐออกไปอีก 90 วัน ทำให้สถานการณ์ ทั้ง Trade war และ Tech war ดูผ่อนคลายขึ้น และส่งผลบวกต่อ Sentiment การลงทุนไปยังกลุ่มซัพพลายเออร์ และ กลุ่มผู้จัดจำหน่ายมือถือของหัวเว่ย โดยตลาดหุ้นไทยประกอบด้วย HANA และกลุ่มผู้ขายมือถือคือ COM7, SYNEX และ JMART
  • (+) Trade war: นอกจากข่าวที่สหรัฐขยายเวลาทำธุรกรรมกับหัวเว่ยออกไปเป็นเวลาอีก 90 วัน ตลาดหุ้นดาวโจนส์และตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกยังมีปัจจัยหนุนจากข่าวที่จีนและสหรัฐวางแผนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศใช้แผนการปรับปรุงและปฏิรูปกลไกในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ loan prime rate (LPR) เพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเอกชนปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันเยอรมนีก็วางแผนจะใช้งบพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้านยูโร (1.7 ล้านล้านบาท)
  • (-) สภาพัฒน์ประกาศ GDP ไตรมาส 2/19 ขยายตัว 2.3% ต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส พร้อมลดเป้า GDP ในปีนี้เหลือขยายตัว 2.95% จากเดิม 3.55% : สภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/19 ออกมาตามที่ตลาดคาดไว้โดยขยายตัว 2.3% ลดลงจากไตรมาส 1/19 ที่ขยายตัว 2.8% นับเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส การลงทุนภาครัฐพลิกเป็นบวก แต่ถูกฉุดด้วยการส่งออกที่ยังติดลบ 6.1% ขณะที่การบริโภคเอกเชนและการลงทุนภาคเอกชนเติบโตลดลง ส่งผลให้ 1H19 GDP ขยายตัวเพียง 2.6% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้เพื่อสะท้อน GDP ที่ขยายตัวน้อยกว่าที่คาด สภาพัฒน์จึงปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้เป็นขยายตัว  2.7-3.2% จากเดิม 3.3-3.8% หลักๆมาจากการลดคาดการณ์การส่งออกจาก +2.2% เป็น -1.2% นอกจากนี้ยังลดคาดการณ์การลงทุนของภาครัฐและเอกเชนจากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 4.5% เป็นขยายตัว 4% และ 3.7% ตามลำดับ