ครม.เคาะมาตรการกระตุ้น

ครม.เคาะมาตรการกระตุ้น

คาด SET ปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัดบริเวณ 1,610 – 1,615 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวลง -15.42 จุด (-0.95%) ปิดที่ระดับ 1,604 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1 แสนล้านบาท จากความกังวลภาวะ Inverted yield curve โดย US Bond yield 10 ปีลงต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต นอกจากนี้ยังมีแรงขายกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นตัวถ่วงดัชนีด้วยเช่นกัน สำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นขายสุทธิอีก 11,946 ล้านบาท และNet Short TFEX จำนวน 22,717 สัญญา รวมถึงขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 4,442 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลาง - บวก คาด SET ปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัดบริเวณ 1,610 – 1,615 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว เนื่องจากได้ปัจจัยหนุนภายในโดยครม.เศรษฐกิจจะมีการประชุมในวันนี้ (16 ส.ค.) ซึ่งคาดว่าจะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง เพิ่มวงเงินสวัสดิการช่วยเหลือบัตรคนจน กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงเร่งโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ นอกจากนี้ธปท.ออกมาตรการผ่อนปรน LTV สำหรับการกู้ร่วมซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ อย่างไรก็ตามภาวะตลาดยังคงถูกแรงกดดันจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามสถานการณ์ Trade war ที่ยืดเยื้อ ภาวะ Inverted yield curve รวมถึงกระแส Fund Flow ต่างชาติที่ยังคงไหลออกต่อเนื่องซึ่งจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัว

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ กลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มท่องเที่ยว AOT, MINT กลุ่มนิคมฯ AMATA,  WHA 
  • กลุ่มอสังหาฯ ( PSH, SPALI, LPN ) ได้อานิสงส์ธปท.ผ่อนปรนมาตรการ LTV สำหรับการกู้ร่วม
  • หุ้น Defensive stock ( INTUCH, ADVANC, BEM , BTS, TPCH, BDMS, GPSC, TTW, EA, CPALL )

หุ้นแนะนำวันนี้ : AP (ปิด 7.1 ซื้อ/เป้า 9.3 บาท) คาดได้ Sentiment บวกจากที่แบงก์ชาติออกมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV สำหรับผู้กู้ร่วมในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มอสังหาฯที่เน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ โดยเฉพาะ AP, ERW (ปิด 5.45 ซื้อเป้า IAA Consensus 7.1 ) ได้ Sentiment บวกจากภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ(เมืองหลักและเมืองรอง) ซึ่ง ERW ได้ประโยชน์โดยตรงเพราะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 90% มากสุดเมื่อเทียบกับ CENTEL และ MINT

KSS report วันนี้: BPP (ปิด 19.5 ถือ/เป้า 19), LH (ปิด 10.6 ถือ/เป้า 11.5 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (+) แบงก์ชาติผ่อนคลายเกณฑ์ LTV โดยเฉพาะกรณีกู้ร่วมคาดหนุนยอดขายบ้านและคอนโดกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ: ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศผ่อนคลายเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะเกณฑ์ LTV ที่บังคับใช้กับผู้กู้ร่วมซึ่งเดิมกำหนดให้การกู้โดยการกู้ร่วมให้ถือเป็นการกู้ของทุกคน แต่เกณฑ์ใหม่ระบุว่าหากผู้กู้ร่วมดังกล่าวไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ให้ผ่อนปรนโดยถือเสมือนว่ายังไม่เป็นผู้กู้ในครั้งนั้น เบื้องต้นเรามองว่าการผ่อนคลายเกณฑ์ที่เข้มงวดในครั้งนี้น่าจะกระตุ้นดีมานด์ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาฯที่เน้นผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ (กู้คนเดียวไม่ผ่านต้องกู้ร่วม) อาทิ LPN, PSH, AP และ SPALI
  • (+) ภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดเป็นมาตรการระยะสั้น โดยวันนี้ ครม.จะมีการหารือในรายละเอียดเป็นครั้งแรก: วันนี้ ครม.กำหนดให้มีการประชุมเพื่อหารือในรายละเอียดของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นนัดแรก เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นมาตรระยะสั้นที่เน้นปล่อยเงินเข้าสู่ระบบโดยเร็ว อาทิ 1) มาตรการบรรเทา ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง การช่วยเหลือเกษตรกรผ่อนคลายหนี้ สนับสนุนสินเชื่อพิเศษและดอกเบี้ย งบประมาณ 50,000 ล้านบาท 2) มาตรการดูแลปรับเพิ่มสวัสดิการสำหรับผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ งบประมาณ 30,000 ล้านบาท และ 3) มาตรการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคและการลงทุนในประเทศ เช่น กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง โดย จะแจกเงินให้กับประชาชน 10 ล้านคน คนละ 1,500 บาท งบประมาณรวม 1.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้อาจจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติมเช่นต่อ อายุ Free Visa on arrival (VOA) ซึ่งจะมาตรการเดิมจะหมดอายุในวันที่ 31 ต.ค.19 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดน่าจะส่งผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS) และ กลุ่มท่องเที่ยว (ERW, CENTEL, MINT และ AOT)
  • (+/-) ปัจจัยที่ต้องติดตาม สัปดาห์หน้าไทยประกาศ GDP ไตรมาส 2/19 Consensus คาดขยายตัว 2.3% ต่ำสุดในรอบ 18 ไตรมาส: วันที่ 19 ส.ค.19 สภาพัฒน์จะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2/19 ของไทย เบื้องต้น Consensus คาดว่าจะขยายตัว 2.3% ลดลงจากไตรมาส 1/19 ที่ขยายตัว 2.8% หากออกมาตามที่ตลาดคาดไว้จะเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 18 ไตรมาสหรือ 4 ปีครึ่ง หลักๆเป็นผลจากการหดตัวของภาคส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนและ การบริโภคภาคเอกชนเริ่มชะลอตัว หลังจากความเชื่อมั่นของประชาชนเริ่มลดลง