ทุ่ม 2.4 พันล้านบาท ตั้งเตาเผาขยะอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าทันสมัยสุดในอาเซียน กำลังกำจัดกากอุตสาหกรรมปีละ 6.5 หมื่นตัน ผลิตไฟฟ้า 7 เมกะวัตต์ คาดสร้างรายได้ปีละ 500 ล้านบาท หวังเป็นต้นแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายชนะ ภูมี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และคอนสตรัคชั่น โซลูชั่น บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า เอสซีจี เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เป็นกุญแจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way
ทั้งนี้ แนวปฏิบัตินี้จะสำเร็จได้ต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกฝังจิตสำนึก สร้างความเข้าใจ รวมถึงสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค สู่แนวปฏิบัติของเศรษฐกิจหมุนเวียนในวงกว้างอย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเชส จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกได้ทำโครงการโรงกำจัดกากอุตสาหกรรมและหน่วยผลิตไฟฟ้าตั้งบนพื้นที่ 15 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นธุรกิจต้นแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะเริ่มทดสอบระบบปลายปี 2562 และเริ่มดำเนินการต้นปี 2563
เล็งใช้เทคโนโลยีญี่ปุ่น
สำหรับโครงการโรงกำจัดกากอุตสาหกรรมและหน่วยผลิตไฟฟ้านี้ รองรับขยะอุตสาหกรรมได้ 6.5 หมื่นตันต่อปี มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 7 เมกะวัตต์ ใช้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น และเยอรมนีถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในอาเซียน มีกระบวนการเผา 2 ครั้ง และเผาในอุณหภูมิสูงทำให้ปลอดมลพิษอย่างแท้จริง จึงใช้เงินลงทุนสูงถึง 2,400 ล้านบาท สูงกว่าเตาเผาขยะทั่วไปที่มีต้นทุน 900 ล้านบาท
โดยส่งผลให้ค่ากำจัดกากสูงกว่าปกติ 1,000-3,000 บาทต่อตัน ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการกำจัด แต่มีต้นทุนการขนส่งกากฯต่ำกว่าการส่งไปกำจัดที่ จ.สระบุรี ทำให้ในภาพรวมราคาจะใกล้เคียงกับรายเดิม
นอกจากนี้ โครงการนี้จะมีรายได้ปีละ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้า 300 ล้านบาท และจากค่ากำจัดขยะอุตสาหกรรม 200 ล้านบาท โดยจะรับกากจากโรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณโดยรอบ ปัจจุบันมีฐานลูกค้าเดิมที่ส่งกากอุตสาหกรรมไปกำจัดที่โรงงานปูนซิเมนต์ไทยอยู่แล้ว 10-20 ราย และมั่นใจว่าจะมีลูกค้าใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก 100 ราย
ชงรัฐหนุนมาตรการลงทุน
ทั้งนี้ ธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมแบบนี้มีกำไรน้อยมาก มาตรการดึงดูดการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ให้ยกเว้นภาษีเพียง 8 ปี จึงไม่ดึงดูดให้เกิดอุตสาหกรรมแบบนี้มากนัก ซึ่งรัฐควรจะเพิ่มมาตรการทางภาษีและมาตรการอื่นๆ ให้มากกว่านี้
“แง่รายได้ผลกำไรโครงการนี้จะไม่มาก อยู่ในระดับปริ่มน้ำพอที่จะดำเนินธุรกิจไปได้ ดังนั้นในธุรกิจนี้จึงไม่ได้หวังที่ผลกำไรเป็นหลัก แต่เพื่อเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูง และต้องการผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม และกำจัดกากอุตสาหกรรมได้อย่างหมดจนไม่เหลือไปฝังกลบ มีเศษที่เหลือจากการเผาน้อยมาสามารถนำไปเป็นวัสดุผสมคอนกรีตก่อสร้างหรือทำถนนได้ ซึ่งเป็นแบบอย่างเพื่อให้เกิดการพัฒนาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)”
สำหรับสถานการณ์กากอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซีขณะนี้ ในปี 2560 จ.ชลบุรีมีกากอุตสาหกรรมอันตราย 4.1 หมื่นตัน จ.ฉะเชิงเทรา 9 พันตัน จ.ระยอง 2.3 แสนตัน รวมทั้ง 3 จังหวัด 2.8 แสนตัน ส่วนกากอุตสาหกรรมที่ไม่อันตรายใน จ.ชลบุรี 9.8 แสนตัน จ.ฉะเชิงเทรา 3.65 แสนตัน และจ.ระยอง 2 ล้านตัน รวมทั้งสิ้น 3.345 ล้านตัน
มั่นใจทันสมัยสุดในอาเซียน
นายศาณิต เกษสุวรรณ ผู้อำนวยการธุรกิจสัมพันธ์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด กล่าวว่า เอสซีจีไม่หยุดนิ่งในการมองหานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อนำมาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชั่น ร่วมกับ แอชเมลติ้ง เป็นเทคโนโลยีสำหรับกำจัดกากอุตสาหกรรมที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน ทั้งยังตอบโจทย์แนวทาง Circular Economy และ Zero Waste to Landfill ของเอสซีจีได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เอสซีจีเป็นรายแรกและรายเดียวในอาเซียนที่ใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งสามารถกำจัดกากได้หลากหลายประเภทและขนาด ทั้งชนิดอันตรายและไม่เป็นอันตราย ที่สำคัญไม่มีวัตถุดิบเหลือทิ้งในระบบที่ต้องกำจัดเพิ่ม นอกจากวัสดุที่เป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างคุ้มค่า
นายปัญญา โสภาศรีพันธ์ รองผู้อำนวยการธุรกิจสัมพันธ์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด กล่าวว่า กระบวนการดำเนินงานทุกขั้นตอนจะเป็นแบบระบบปิด มีระบบควบคุมมลพิษ และของเสียตามมาตรฐานสากล ตั้งแต่การรับกากอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการ การขนส่งไปยังจุดคัดแยกประเภทเพื่อตรวจวิเคราะห์ค่ามาตรฐานกาก และเตรียมกากก่อนการกำจัด จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการกำจัดด้วยเทคโนโลยีเฉพาะในเตาแก๊สซิไฟเออร์และเตาแอชเมลติ้งตามลำดับ
หนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน
สำหรับระหว่างกระบวนการเผาจะเศษวัสดุที่เหลือจากการเผาไหม้ เช่น อะลูมิเนียม เหล็ก และเถ้าลอย ซึ่งนำกลับไปใช้ใหม่ได้ ส่วนวัสดุเผาไหม้ไม่ได้สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบแทนการก่อสร้างถนนได้ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการผลิตไฟฟ้าและปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อนำกลับไปใช้หมุนเวียนในระบบ
“ขณะนี้เราได้เดินหน้าแผนสร้างการรับรู้ พร้อมสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งในกลุ่มเป้าหมายและประชาชนในชุมชน โดยมุ่งตอกย้ำถึงจุดแข็งด้านเทคโนโลยี มาตรฐานการดำเนินงาน ตลอดจนระบบการกำจัดที่ไม่เหลือเศษวัสดุในกระบวนการ สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ โรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ โรงกลั่นน้ำมันและอิเล็กทรอนิกส์"
นอกจากนี้ เอสซีจีต้องการให้ผู้ประกอบการทุกกลุ่มอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการกำจัดกากอุตสาหกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเอสซีจีเตรียมจัดงาน SD Symposium 10 Years “Circular Economy : Collaboration for Action” วันที่ 26 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ เอสซีจีวางแผนให้เป็นงานระดับโลกที่ยกประเด็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาของสังคม พร้อมนำเสนอตัวอย่างการแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลกในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้แนวทางการบริหารจัดการขยะในประเทศไทยและในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและอาเซียนตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-“เอสซีจี”สปินธุรกิจ หนีเทคโนโลยีไล่ล่า..!!
-'เอสซีจี' ปักหมุดผู้นำอาเซียน