Inverted Yield Curve ป่วนโลก

Inverted Yield Curve ป่วนโลก

คาด SET ปรับตัวลงทดสอบบริเวณ 1,600 จุด จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามสถานการณ์ Trade war ที่ยืดเยื้อซึ่งส่งผลนักลงทุนอยู่ในภาวะ Risk off

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปิดแกว่งตัว -0.78 จุด (-0.05%) ปิดที่ระดับ 1,619 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.1 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่าจะได้ sentiment บวกจาก Trade war ผ่อนคลายลงหลังสหรัฐเลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.แต่มีแรงขายกลุ่มธนาคารอย่างหนักหลังธนาคารขนาดใหญ่ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ ลง 0.25% ซึ่ง๗ธกระทบต่อ NIM สำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นขายสุทธิต่อเนื่องอีก 3,966 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,011 ล้านบาท แต่เป็น Net Long TFEX จำนวน 3,687 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET ปรับตัวลงทดสอบบริเวณ 1,600 จุด จากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยตามสถานการณ์ Trade war ที่ยืดเยื้อซึ่งส่งผลนักลงทุนอยู่ในภาวะ Risk off และเข้าซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และพันธบัตร ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเกิด Inverted yield curve (อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว) ซึ่งบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ตัวเลขการผลิตอุตฯของจีนเดือนก.ค.ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 17 ปี โดย +4.8%YoY , GDP 2Q19 ของเยอรมัน -0.1%QoQ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงกว่า 3% หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลจะยิ่งเป็นแรงกดดันต่อภาวะตลาดในช่วงนี้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ กลุ่มค้าปลีก CPALL กลุ่มนิคมฯ AMATA,  WHA  กลุ่มท่องเที่ยว AOT, MINT
  • หุ้น Defensive stock ( INTUCH, ADVANC, BEM , BTS, TPCH ,BDMS ,GPSC ,TTW ,EA ,CPALL )

หุ้นแนะนำวันนี้ : TU (ปิด 19.4 ซื้อ/เป้า 21.8 บาท) คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 3Q19 เนื่องจากธุรกิจเข้าสู่ High season และ ได้ผลบวกโดยตรงจากต้นทุนปลาทูน่าที่ปรับตัวลง กว่า 38% yoy ส่งผลให้ GPM รวมของ TU เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

KSS report วันนี้KCE (ปิด 15.7 ขาย/เป้าใหม่ 13 เดิม 15), LH (ปิด 10.9 ถือ/เป้า 11.5), QH (ปิด 2.98 ถือ/เป้าใหม่ 3.15 เดิม 3.3)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (-) Invert yield curve สัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง: วานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงโดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐลดลงมากกว่า 800 จุด (-3%) ปิดที่ระดับ 25,479 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลังจากที่เมื่อวานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ Invert yield curve โดย Bond yield 2 ปี (1.63%) ของสหรัฐปรับตัวขึ้นสูงกว่า Bond yield 10 ปี (1.623%) ซึ่งในอดีตหรือกว่า 40 ปีย้อนหลังพบว่าทุกครั้งที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ Invert yield curve มักจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมาทุกครั้ง โดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือนหลังจากเกิด Invert yield curve
  • (-) น้ำมันดิบร่วงแรงในทิศทางเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ กังวลเศรษฐกิจถดถอย และ สต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่ตลาดคาด: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.87 ดอลลาร์ (-3.3%) ปิดที่ 55.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นักลงทุนกังวลอุปสงส์น้ำมันดิบชะลอตัว เศรษฐกิจโลกเสี่ยงเกิดวิกฤติ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ Invert yield curve นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลสวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรล นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2
  • (-) ผลกำไรบริษัทจดทะเบียน 2Q19 หดตัว 19.6%qoq และ 16.9%yoy แย่กว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว 12%qoq และ 11.6%yoy: จากการรวบรวมผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน 94% ของ  Market cap รวมของตลาดพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 2.58 แสนล้านบาท ลดลง 19.6%yoy และ 16.9%qoq แย่กว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว 12%qoq และ 11.6%yoy กำไรสุทธิที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดทำให้เป็นไปได้ที่จะเห็น Consensus ปรับลดคาดการณ์ EPS ของตลาดในปีนี้และปีหน้าลงถือเป็น Downside ที่จะเข้ามากดดันตลาดในระยะถัดไป
  • (-) 4 แบงก์ใหญ่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กดดันแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต คาดตลาดจะทยอยลดคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าลง: วานนี้ 4 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ของไทย นำโดย KBANK, BBL, KTB และ SCB ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และ MOR ลง 0.25% เพื่อช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยกลุ่มผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SME อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ส่งผลให้นักลงทุนแห่เทขายหุ้นเนื่องจากเชื่อว่าตลาดจะปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารให้สะท้อนกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ดีราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดย Bank index ลดลง 13% ภายในเวลา 1 เดือนครึ่ง RSI ของ Bank Index อยู่ที่ระดับ 10.27% สะท้อนถึงภาวะ Over sold ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารเริ่มซื้อขายต่ำกว่า Book Value และบางตัวให้ Dividend yield อยู่ในระดับที่น่าสนใจ(เกิน 4%) ทำให้ Down side ที่ราคาหุ้นกลุ่ม Bank จะลดลงแรงเหมือนช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจะเริ่มจำกัด