BEM เชื่อมั่นขยายสัมปทานยุติข้อพิพาท เป็นทางออกที่ดีที่สุด

BEM เชื่อมั่นขยายสัมปทานยุติข้อพิพาท เป็นทางออกที่ดีที่สุด

BEM เชื่อมั่นขยายสัมปทานยุติข้อพิพาท เป็นทางออกที่ดีที่สุด หลังจากการเจรจากับการทางพิเศษได้ความคืบหน้าทั้งในส่วนวงเงินค่าเสียหายที่ลดเหลือ 5.8 หมื่นล้านบาท และการสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาจราจร ในอนาคต

วันนี้ (14 ส.ค.) ที่บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ “BEM” แถลงข่าวชี้แจงกรณีการยุติข้อพิพาทโดยการขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน ABC และ D) และทางด่วนบางประอิน – ปากเกร็ด (C+) ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และ BEM โดยมีนายนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล กรรมการบริหาร BEM เป็นผู้แถลงข่าว

นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวว่า ข้อพิพาทที่มีระหว่างบริษัท กับ กทพ. 17 คดี เกิดจาก 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องผลกระทบจากทางแข่งขัน และเรื่องการไม่ปรับค่าผ่านทางตามสัญญาเรื่องทางแข่งขันมีผลกระทบกับสัญญาทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตั้งแต่ปี 2542 จนสิ้นสุดสัญญาในปี 2569 มูลค่าข้อพิพาทถึงสิ้นปี 2561 เท่ากับ 78,908 ล้านบาท ขณะที่ข้อพิพาทการไม่ปรับค่าผ่านทางตามสัญญาเรื่องนี้จะเกิดทุกๆ 5 ปี จนจบสัมปทานทั้ง 3 สัญญา มูลค่าข้อพิพาทถึงสิ้นปี 2561 เท่ากับ 56,034 ล้านบาทเมื่อรวมกับเรื่องอื่นๆ มูลค่าข้อพิพาทถึงสิ้นปี 2561 รวมเท่ากับ 137,517 ล้านบาท ซึ่งหาก กทพ.ต่อสู้ทุกคดีจนถึงที่สุด ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะสัญญาสัมปทานยังไม่จบ มีเงินต้น-ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกมาก

“ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นไม่ใช่ค่าโง่ เพราะไม่ได้เกิดจากการทำสัญญาที่ผิดพลาดหรือมีการทุจริตแต่อย่างใด สัญญาสัมปทานก็เป็นสัญญาที่เป็นธรรมระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งเรื่องทางแข่งขันและการปรับค่าผ่านทางเป็นเรื่องสัญญาที่ตกลงกันไว้ รัฐอาจมีความจำเป็นและเหตุผลในการสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยายไปรองรับเมืองที่จะขยายออกไป หรือเกรงว่าการขึ้นค่าผ่านทางจะกระทบประชาชน แต่เมื่อเกิดผลกระทบกับบริษัทแล้ว กทพ.ไม่ได้ชดเชยตามสัญญา ก็เกิดการผิดสัญญาขึ้นนำไปสู่การพิพาทในท้ายที่สุด กรณีเช่นนี้น่าจะถือเป็นค่าเบี้ยวมากกว่าค่าโง่ เพราะไม่มีใครโง่หรือฉลาดในเรื่องนี้”

 

นายพงษ์สฤษดิ์ เปิดเผยว่า ในการเจรจา กทพ.ขอนำข้อพิพาทเรื่องผลกระทบทางแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้วมาเจรจาเท่านั้น โดยมูลค่าข้อพิพาททั้งหมดระหว่าง กทพ.และ BEM ยุติกันที่ 58,873 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก ต่ำกว่ามูลค่าข้อพิพาทเรื่องทางแข่งขัน (ณ สิ้นปี 2561) 78,908 ล้านบาท และต่ำกว่าเงินต้นของมูลค่าข้อพิพาทเรื่องทางแข่งขันจนจบสัมปทาน (ปี 2569) ประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยถือว่าเรื่องอื่นๆที่ฟ้องร้องอยู่และจะเกิดขึ้นในอนาคตจนจบสัมปทานบริษัทยุติทั้งหมด ทั้งที่ในปัจจุบันมีหลายคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เช่น คดีไม่ปรับค่าผ่านทาง ทางด่วนขั้นที่ 2 ปี 2546 และคดีชดเชยรายได้นับจากวันเปิดใช้งานพื้นที่ส่วนแรกของทางด่วนขั้นที่ 2

กทพ.จะขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน ABC ส่วน D และทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ดออกไป สัญญาละ 30 ปีแทนการจ่ายเงิน ส่วนบริษัทมีหน้าที่ให้บริการและบำรุงรักษาทางด่วนเดิมทั้ง 3 สายทาง และแก้ไขปัญหาจราจรโดยลงทุนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) จากงามวงศ์วานถึงพระราม 9 ระยะทาง 17 กิโลเมตร ก่อสร้างช่อง Bypass แก้จุดตัดจราจรบริเวณอโศก 2 จุด ขยายพื้นผิวจราจรบริเวณมักกะสันและพระราม 6 อีก 2 จุด รวมมูลค่า 3.1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้จะไม่เกินค่าผ่านทางการใช้ Double Deck เพิ่ม เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และบริษัทต้องรับผิดชอบความเสี่ยงในรายได้จากปริมาณการใช้รถที่ต้องลดลงจากนโยบายส่งเสริมระบบขนส่งทางราง ของรัฐบาล โดยต้องแบ่งรายได้ให้ กทพ.ตามสัญญา แต่เนื่องจากการก่อสร้าง Double Deck ต้องรอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผ่านความเห็นชอบก่อน กทพ.จึงแบ่งสัญญาเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เพื่อยุติ ข้อพิพาท (ขยายสัญญาจนถึง ต.ค.2578) และส่วนที่ 2 การก่อสร้าง Double Deck (ขยายสัญญาออกไปจนครบ 30 ปี) ซึ่งลงนามสัญญาเมื่อรายงาน EIA ผ่าน

บริษัทเชื่อว่า กทพ.และกระทรวงคมนาคมคงจะเร่งสรุปเรื่องนี้ เสนอ ครม.เพราะเป็นประโยชน์สูงสุด และผ่านความเห็นชอบของทุกส่วนที่เกี่ยวข้องตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนแล้ว