พิษอสังหาฯขาลง พฤกษาเลื่อนเปิดโครงการพรีเมี่ยม

พิษอสังหาฯขาลง พฤกษาเลื่อนเปิดโครงการพรีเมี่ยม

อสังหาฯขาลงลามตลาดพรีเมี่ยม “พฤกษา” เลื่อนเปิดคอนโดพรีเมี่ยมเป็นปีหน้า รวมลดเปิดโครงการใหม่ปีนี้ลง 15 โครงการ ปรับเป้ายอดขายลดลง4พันล้าน หลังภาพรวมอสังหาฯครึ่งปีแรกติดลบ 13% ชูกลยุทธ์“สไนเปอร์”ยิงตรงลูกค้าแทนสาดกระสุน 

จากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงครึ่งปีแรกที่มีมูลค่า 200,650 ล้านบาท หดตัวลงจากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 231,547 ล้านบาทหรือ ติดลบ 13% แบ่งเป็น คอนโด ติดลบ 17% บ้านเดี่ยว ติดลบ 12% และทาว์นเฮ้าส์ ติดลบ 5% ขณะที่จำนวนยูนิตอยู่ที่ 51,865 ยูนิตลดลง 11% เช่นเดียวกับยอดโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน เม.ย – พ.ค. มียอดโอนอยู่ที่ 41,906 ล้านบาท ลดลง 24%

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์ตลาดอสังหาฯชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายครึ่งปีแรกของพฤกษา ลดลงอยู่ที่ 23,368 ล้านบาทหรือ ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่24,367 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการในครึ่งปีแรกจะสามารถทำรายได้รวม 19,662 ล้านบาท เติบโต 3% และทำกำไร 2,618 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ ยอดขาย (Presale) และแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 เนื่องจากภาวะตลาดอสังหาฯ กำลังซื้อ เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศถดถอย อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชะลอตัว เงินบาทแข็งค่า หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง 

โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมลดลงเหลือ 45,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิม 47,000 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้จะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 19,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียม จำนวน 12,300 ล้านบาท จากโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 7,800 ล้านบาท และจากโครงการระดับพรีเมียม จำนวน 5,400 ล้านบาท

เลื่อนเปิดโครงการพรีเมี่ยม

ขณะที่เป้าหมายยอดขายในปีนี้จะลดลงอยู่ที่ 50,000 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งไว้ 54,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 22,800 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม จำนวน 10,300 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว จำนวน 9,400 ล้านบาท และโครงการระดับพรีเมียม จำนวน 7,500 ล้านบาท ซึ่งมาจาก 2 โครงการคือ แชปเตอร์เจริญนคร ที่ปิดโครงการแล้วและที่จุฬา-สามย่าน ที่ขายไปแล้ว80% ส่วนโครงการคอนโดพรีเมี่ยมที่เหลือ 2 โครงการเลื่อนไปเปิดในปี 2563  โดยภาพรวมของการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ จะปรับลดลงเหลือ 40 โครงการคิดเป็นมูลค่ารวม 47,444 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิดโครงการใหม่รวม จำนวน 55 โครงการ มูลค่ารวม 68,100 ล้านบาท

ชูสไนเปอร์แทนสาดกระสุน

นางสุพัตรา กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ จำนวน 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,492 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 26 โครงการ มูลค่าโครงการ 26,952 ล้านบาท ด้วยการปรับกลยุทธ์แบบสไนเปอร์เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจากเดิมที่ใช้วิธีการสาดกระสุนแบบปืนกล ไม่ตรงเป้าหมาย ทำให้เสียเวลาและ โอกาส โดยใช้ 6กลยุทธ์หลักในการทำตลาดครึ่งปีหลังปี เริ่มจาก 1.เน้นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยมากขึ้น

2.ปรับสินค้า ราคาให้ตอบสนองกับกำลังซื้อลูกค้าPremiumization จากกลุ่มกลางล่างเป็นกลางบน เช่น กลุ่มคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ ราคา3-5ล้านบาทบ้านเดี่ยวราคา 5-7ล้านบาทแทนที่จะเป็นกลุ่มราคา 1-2 ล้านบาทที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี)3.เลือกเปิดโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพ หากจังหวะเวลายังไม่เหมาะสมชะลอหรือเลื่อนออกไปก่อนเหมือน เช่น คอนโดระดับพรีเมี่ยม 

ชูเอไอดันดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง

4.เน้นการทำตลาดแบบดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง และนำเอไอเข้ามาช่วยในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อความถูกต้องแม่นยำ 5.บริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ6.ให้คำแนะนำในการเลือกธนาคารที่เหมาะสมตามศักยภาพลูกค้า

“เราจะทำสินค้าให้ลักชัวรีในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ ไม่แพงจนสุดโต่ง ดังนั้น เลือกทำเลที่ดี โปรดักส์ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมกับการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำตลาดบ้านเดี่ยวมากขึ้น รวมทั้งช่องทางการขายกระจายไปในทุกรูปแบบ"

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ปีนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 36,938 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงที่เหลือของปี 2562-2565 โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 17,435 ล้านบาทและในปี 2563 จะทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 8,619 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 จะทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 8,847 ล้านบาท และในปี 2565 จะรับรู้รายได้ส่วนที่เหลือ 2,038 ล้านบาท