เลือกเล่นรายตัว

เลือกเล่นรายตัว

ภาวะตลาดยังคงถูกความกังวล Trade war สหรัฐ-จีนกดดันต่อเนื่อง

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index วานนี้อ่อนตัวลง -2.04 จุด (-0.12%) ปิดที่ระดับ 1,669 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.4 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่ากนง.จะ surprise ตลาดด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.5% ส่งผลให้มีแรงซื้อกลุ่ม FIN และ ETRON อย่างไรก็ตามแรงขายกลุ่ม BANK ขนาดใหญ่ที่เสียประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงกดดันให้ดัชนีย่อตัวปิดแดนลบ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 3,605 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 624 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 4,863 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,660 - 1,680 จุด โดยภาวะตลาดยังคงถูกความกังวล Trade war สหรัฐ-จีนกดดันต่อเนื่อง โดยล่าสุดสหรัฐเตรียมห้ามภาครัฐทำธุรกิจกับ Huawie เพิ่มเติมจากครั้งก่อนที่ห้ามภาคเอกชนทำธุรกรรม ส่งผลให้เกิดภาวะ Risk off กดดันให้ Fund Flow ต่างชาติ Net Sell 6 วันต่อเนื่องราว 1.5 หมื่นลบ. นอกจากนี้สต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลยังฉุดให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและดัชนี อย่างไรก็ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลกโดยวานนี้กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.5% และปธน.ทรัมป์เรียกร้องให้ FED เร่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยให้ sentiment ตลาดโดยรวมดีขึ้นในช่วงถัดไป

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (EA, BGRIM, CKP, GFPT, TFG, CPALL, VGI, PLANB, MINT, VNT, MAJOR, JMT, PRM)
  • กลุ่มที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง FIN (MTC, SAWAD, THANI, KTC) กลุ่มเช่าซื้อ (TISCO, TCAP, KKP)
  • หุ้น Defensive stock (INTUCH, ADVANC, BTS, TPCH ,BDMS ,GPSC ,BEM ,TTW )

หุ้นแนะนำวันนี้: KKP (ปิด 73.25 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 77 บาท) ได้ Sentiment บวกจากดอกเบี้ยขาลง ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว, CHG (ปิด 2.30 ซื้อ/เป้า 2.6) ทยอยสะสมคาดผลกำไรใน 2Q19 จะเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) ของปีนี้ และกำไรสุทธิใน 2H19 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลจากรายได้ประกันสังคมที่ฟื้นตัว นอกจากนี้โรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง จะขาดทุนลดลงและคาดว่าจะเริ่มทำกำไรตั้งแต่ 4Q19 เป็นต้นไป

KSS report วันนี้LPN (ปิด 7.1 ซื้อ/เป้า 9.3 บาท), PTTGC (ปิด 55.25 ถือ/เป้าใหม่ 53 เดิม 70บาท), SPRC (ปิด 9.35 ซื้อ/เป้า 13.2 บาท), TU (ปิด 18.7 ซื้อ/เป้าใหม่ 21.8 เดิม 22.4 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (-) ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แต่เช้านี้เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวน่าจะช่วยลดผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันได้: เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดย WTI ลดลง 2.54 ดอลลาร์ (-4.7%) ปิดที่ระดับ 51.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จาก 1) ยังกังวลเศรษฐกิจและอุปสงค์ชะลอตัวจากผลกระทบของ Trade way & Currency war และ 2) EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2.8 ล้านบาร์เรลและเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามเช้าวันนี้ราคาน้ำมันดิบฟิวเจอร์เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวส่วนหนึ่งน่าจะเกิด Technical rebound ตามตลาดหุ้นหลังจากที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของสหรัฐเริ่มฟื้นตัว
  • (+) กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี กระทบกำไรและ Sentiment การลงทุนกับกลุ่มธนาคารแต่จะเป็นบวกกับกลุ่มไฟแนนซ์: วานนี้ที่ประชุม กนง.มีมติ 5:2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.5% (2 เสียงให้คงดอกเบี้ย) นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดและเริ่มมีความเสี่ยงในทางลบมากขึ้น อย่างไรก็ตามแบงก์ชาติคงคาดการณ์ GDP ในปีนี้เท่าเดิมที่ 3.3% และจะพิจารณาทบทวนอีกครั้งหลังจากมีการประกาศ GDP 2Q19 (19 ส.ค.19) เบื้องต้นเรามองว่าดอกเบี้ยที่ลดลงจะเป็นลบต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่นำโดย BBL, KBANK, SCB และ KTB กลุ่มธนาคารขนาดกลางถึงเล็ก TCAP, KKP และ TISCO ได้รับผลลบเล็กน้อยเพราะกลุ่มนี้เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์(ดอกเบี้ยคงที่) จึงได้ประโยชน์จากต้นทุนเงินฝากที่ลดลง ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์จะได้ประโยชน์โดยตรงนำโดย KTC, AEONTS, MTC, SAWAD, THANI, ASK, SINGER และ AMANAH เพราะธุรกิจส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรายย่อยดอกเบี้ยคงที่ เมื่อต้นทุนดอกเบี้ยลงจะทำให้ Spread และ NIM เพิ่มขึ้น (กู้ถูกมาปล่อยดอกแพง) นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมอาทิ กลุ่ม อสังหาฯ (ต้นทุนดอกเบี้ยบ้านลดกระตุ้นยอดซื้อ), กลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวได้ประโยชน์หากค่าเงินบาทอ่อนค่า
  • (+) FETCO นำเสนอกองทุน SEF แทน LTF เดิมที่จะหมดอายุ โดยยังเน้นแนวทางสิทธิ์โยชน์ทางภาษีเป็นตัวชูโรง มองเป็นบวกกับตลาดหุ้น: เดิมตลาดวิตกกังวลค่อนข้างมากที่ภาครัฐจะไม่ต่ออายุโครงการ LTF ซึ่งจะหมดอายุโครงการในปลายปีนี้ เนื่องจากหากไม่ต่ออายุมาตรการออกไปจะจูงใจให้ผู้ถือหน่วยทยอยขายและไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามารองรับ ส่งผลให้ SET Index มีโอกาสที่จะปรับตัวลง อย่างไรก็ตามวานนี้ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) ได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) ขึ้นมาใหม่และทดแทน LTF เดิม ซึ่งรมว.คลังได้ตอบรับในหลักการแล้ว โดย SEF จะเน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนและหุ้นโครงสร้างพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 65% แต่เงินลงทุนเพื่อขอลดหย่อนภาษีกำหนดเพดานสูงสุดไม่เกิน 2.5 แสนบาทต่อปีต่อราย ลดลงจากเดิม 5 แสนบาท แต่จะเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนต่อเงินได้ขึ้นจาก 15% เป็น 30% คาดว่าจะจูงใจกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลางลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้น