ปปช.เชือด 'สุเทพ' ทุจริตโรงพัก 1.7 พันล้าน

ปปช.เชือด 'สุเทพ' ทุจริตโรงพัก 1.7 พันล้าน

ป.ป.ช.ฟัน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ทุจริตโรงพัก 396 แห่ง วงเงิน 1,726 ล้านบาท ส่งอัยการกล่าวโทษอาญา

คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทําการสถานีตํารวจ (ทดแทน) จํานวน 396 แห่ง เป็นเหตุ ให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นเงิน จํานวน 1,728 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้


เรื่องนี้มีการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ว่าอนุมัติให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างอาคารที่ทําการสถานีตํารวจ (ทดแทน) จํานวน 396 แห่ง จากเดิมจัดจ้างแบบรวมการที่ส่วนกลางโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1 - 9) จํานวนหลายสัญญา เป็นรวมการจัดจ้างก่อสร้างที่ส่วนกลางในครั้งเดียวและเป็นสัญญาเดียวโดยไม่เสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างเสียก่อน โดยรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่อนุมัติให้ เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ


คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคําสั่งที่ 129/2556 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2556 แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องกล่าวหาดังกล่าว โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีคําสั่งที่ 615/2560 ลงวันที่ 12 เมษายน 2560 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการไต่สวน จากการ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เป็นให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมี นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และนางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสํานวน (ต่อมาภายหลังนางสาวสุภา ปิยะจิตติ ได้ถอนตัวจากการเป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสํานวน รวมทั้งการพิจารณา) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้ดําเนินการไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานที่ เกี่ยวข้องจนเสร็จสิ้นแล้ว
สรุปผลการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ ดังนี้ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทําการสถานีตํารวจ (ทดแทน) จํานวน 396 แห่ง ดังกล่าวข้างต้น สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับหน่วยงานภายนอก ศึกษาและพิจารณาแนวทางการจัดจ้าง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนที่มาใช้บริการ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าวิธีการ ที่เหมาะสมต้องให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเป็นผู้ดําเนินการเอง โดยวิธีจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี


เพื่อดําเนินการจัดจ้างตาม แนวทางที่คณะทํางานดังกล่าวเสนอ ผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับ ดูแล สํานักงาน ตํารวจแห่งชาติ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาแล้วเห็นชอบและอนุมัติให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2552 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 พิจารณาแล้วมีมติ อนุมัติหลักการตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติเสนอ และให้ดําเนินการตามความเห็นของสํานัก งบประมาณ ซึ่งกรณีดังกล่าวสํานักงบประมาณเห็นด้วยกับแนวทางที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติเสนอ และให้ สํานักงานตํารวจแห่งชาติดําเนินการก่อสร้างตามความจําเป็นเร่งด่วน และตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในแต่ละ ปีงบประมาณ (2552 - 2554)


จากนั้น สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้มีคําสั่งที่ 203/2552 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 แต่งตั้งคณะทํางานพิจารณาแนวทางการจัดจ้างและการก่อสร้างอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพลตํารวจโท พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในขณะนั้น เป็นประธานคณะทํางาน ซึ่งได้ข้อสรุปว่า เห็นควร ดําเนินการจัดจ้างโดยส่วนกลาง และแยกเสนอราคาเป็นรายภาค (ภาค 1-9) ซึ่งสามารถดําเนินการได้ตามระเบียบ สํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549


สํานักงานตํารวจแห่งชาติ จึงได้เสนอแนวทางการจัดจ้างดังกล่าวต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาแล้วมีบันทึกลงวันที่ 9 มิถุนายน 2552 เห็นชอบและให้ดําเนินการตามที่เสนอ


ปรากฏว่าต่อมาพลตํารวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ จเรตํารวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ได้มีบันทึกลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้างจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระจายการจัดซื้อ จัดจ้างไปตามตํารวจภูธรภาค หรือตํารวจภูธรจังหวัด เปลี่ยนเป็นกองโยธาธิการ สํานักงานส่งกําลังบํารุง เป็นหน่วยงานจัดจ้างก่อสร้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว โดยอ้างว่าเพื่อให้การดําเนินการเป็นไปโดยถูกต้องตาม ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 และไม่ขัดต่อ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วได้อนุมัติให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดจ้าง โดยไม่ นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงเสียก่อน จึงเป็นการอนุมัติโดยไม่มีอํานาจ และโดยรู้อยู่ แล้วว่าแนวทางที่ตนอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงดังกล่าวการก่อสร้างจะไม่แล้วเสร็จ


ต่อมาสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ดําเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารที่ทําการสถานี ตํารวจ (ทดแทน) จํานวน 396 แห่ง ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 6,298,000,000 บาท ตามประกาศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 ซึ่งตามประกาศประกวดราคาดังกล่าวแบบรูปรายการ ละเอียดกําหนดขนาดความยาวเสาเข็มตอกซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างที่มีนัยสําคัญต่อคดีนี้ไว้ที่ความยาว 21 เมตร ต่อต้น ผู้เสนอราคาจะต้องยื่นข้อเสนอให้ถูกต้องตามแบบรูปรายการละเอียดดังกล่าว และเมื่อสิ้นสุดการ ประกวดราคา ผู้ชนะการประกวดราคาจะต้องจัดทําบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (BOQ) ตามที่ได้ยืนราคาครั้ง สุดท้ายส่งให้คณะกรรมการประกวดราคาภายใน 3 วัน ปรากฏว่าบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอน สตรัคชั่น จํากัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยเสนอราคาต่ำที่สุด เป็นเงิน 5,848,000,000 บาท และได้จัดทํา ตามที่กําหนดไว้ใน ประกาศประกวดราคา โดยในส่วนของเสาเข็มตอกขนาดความยาว 21 เมตร นั้น บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด ระบุราคา จํานวน 2,520 บาท ต่อต้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ํากว่าราคาตามท้องตลาด โดยตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ ราคาต้นละ8,151.15 บาท และต่ํากว่าราคากลางของสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ ซึ่งกําหนดไว้ต้นละ 6,360 บาท ซึ่งการระบุราคาเสาเข็มตอกให้ต่ํากว่าราคา ตามท้องตลาดและราคา กลางดังกล่าว โดยมีเจตนาจะให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติหักลดค่าเสาเข็มที่ตอกไม่ครบถ้วนตามแบบได้น้อย หรือต่ํากว่าราคาที่แท้จริงและตนได้ประโยชน์จากการกระทําดังกล่าว จึงเป็นการเอาเปรียบผู้เสนอราคารายอื่น ซึ่งต้องเสนอราคาตามความเป็นจริง ทําให้การเสนอราคาไม่มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม เมื่อพลตํารวจตรี สัจจะ คชหิรัญ ประธานกรรมการประกวดราคา ได้รับบัญชีปริมาณวัสดุและราคา (BOQ) ดังกล่าวไว้แล้ว กลับละเว้น ไม่แจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคารายอื่นทราบและนัดประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีความถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่เพียงใด แต่ได้จัดส่งให้พันตํารวจโท สุริยา แจ้งสุวรรณ์ กรรมการและเลขานุการ นําไปใช้ประกอบ ในการทําสัญญาจ้างบริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ตามสัญญาจ้าง ลงวันที่ 25 มีนาคม 2554 จนเป็นเหตุให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รับความเสียหายหักลดค่าเสาเข็มที่ตอก ไม่ครบถ้วนตามแบบรูปรายการได้เงินน้อยกว่าราคาที่แท้จริง เป็นเงินจํานวน 33,360,778 บาท

และต่อมา ก็ปรากฏว่าการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ขยายระยะเวลาการก่อสร้างไปอีก จํานวนหลายครั้ง แต่ผู้รับจ้างก็ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญาจ้างได้ จนสํานักงานตํารวจแห่งชาติต้อง ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 เป็นเหตุให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติจึงได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อป เมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน จํานวน 1,728,629,606 บาท


คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาการกระทําของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละรายแล้ว มีมติเป็นเอก ฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 8 เสียง (นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ไม่ได้เข้าร่วมพิจารณา) ดังนี้


1.) การกระทําของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 157 และการกระทําของพลตํารวจเอก ปทีป ตันประเสริฐ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจ แห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)

2.) การกระทําของคณะกรรมการประกวดราคา

2.1) การกระทําของพลตํารวจตรี สัจจะ คชหิรัญ และพันตํารวจโท สุริยา แจ้งสุวรรณ์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของ รัฐ พ.ศ. 2552 มาตรา 10 และมาตรา 12 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และมีมูล ความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)


2.2) การกระทําของพันตํารวจเอก จิรวุฒิ จันทร์เพ็ญ พันตํารวจเอก สุทธี โสตถิทัต พันตํารวจเอก พิชัย พิมลสินธุ์ พันตํารวจเอก ณัฐเดช พงศ์วรินทร์ และพันตํารวจเอก ณัฐชัย บุญทวี มีมูลความผิด ทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78 (1) (2) และ (9)


3.) บริษัท พีซีซี ดีเวลลอปเมนท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด โดยนายวิษณุ วิเศษสิงห์ กรรมการผู้จัดการผู้มีอํานาจลงนามผูกพันบริษัท และนายวิษณุ วิเศษสิงห์ ในฐานะส่วนตัว มีมูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10 และมาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว


4.) สําหรับผู้ถูกกล่าวหาอื่นได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พลตํารวจเอก เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว พลตํารวจโท ธีรยุทธ กิติวัฒน์ และพลตํารวจโท สุพร พันธุ์เสือ ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป


ให้ส่งเรื่องรายงาน เอกสารหลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดําเนินคดีอาญา ในศาลซึ่งมีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษา ตามมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และส่งรายงาน เอกสารหลักฐานพร้อมความเห็น ไปยัง ผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 ประกอบพระราชบัญญัติประ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 แล้วแต่กรณีต่อไป