Currency war

Currency war

สงครามการค้ามีโอกาสเยื้อและจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นวงกว้าง

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวลงแรง -18.72 จุด (-1.11%) ปิดที่ระดับ 1,666 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.8 หมื่นล้านบาท จากภาวะ Risk off หลังสถานการณ์ Trade war ระหว่างสหรัฐ-จีนมีแนวโน้มยืดเยื้อซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้การที่ Fed ไม่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไปยิ่งกดดันต่อกระแส Fund flow โดยส่วนใหญ่เป็นแรงขายในกลุ่ม Bank, ICT และ Fin ส่วนนักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 2,653 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 13,934 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,465 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบ 1,640 - 1,650 จุด เนื่องจากภาวะตลาดยังคงอยู่ในภาวะ Risk off หลังสถานการณ์ Trade war รุนแรงมากขึ้นโดยล่าสุดจีนตอบโต้สหรัฐด้วยการระงับนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ รวมถึงกำหนดค่ากลางเงินหยวนอ่อนลงสูงสุดในรอบ 11 ปีล่าสุด 7.05 CNY/USD เพื่อพยุงภาคการส่งออก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สงครามการค้ามีโอกาสเยื้อและจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นวงกว้าง และเป็นผลให้ Fund Flow ต่างชาติมีแนวโน้มไหลออกจากตลาดหุ้น ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่ง Net Sell ในตลาดหุ้นและ Net Short TFEX 3 วันติดต่อกัน ซึ่งจะกดดันต่อทิศทางดัชนีในช่วงนี้ ดังนั้น เรายังคงแนะนำ ให้รอซื้อช่วงอ่อนตัว

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (EA, BGRIM, GPSC, CKP, TU, GFPT, TFG, CPALL, MTC, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)
  • Defensive Stock  (BTS, TPCH , BDMS)

หุ้นแนะนำวันนี้: JMT (ปิด 17.4 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) ราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิของ JMT ในปีนี้จะพุ่งทำ All time high ได้ในทุกไตรมาสจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี และวันนี้ยังได้ Sentiment บวกจากข่าวที่ธนาคารพาณิชย์เตรียมขายหนี้เสียเพิ่มอีกกว่า 2 แสนล้านบาทในปีนี้, CHG (ปิด 2.28 ซื้อ/เป้า 2.6) คาดผลกำไรใน 2Q19 จะเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) ของปีนี้ และกำไรสุทธิใน 2H19 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลจากรายได้ประกันสังคมที่ฟื้นตัว นอกจากนี้โรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง จะขาดทุนลดลงและคาดว่าจะเริ่มทำกำไรตั้งแต่ 4Q19

KSS report วันนี้ADVANC (ปิด 206 ซื้อ/เป้า 232 บาท), IRPC (ปิด 4.56 ถือ/เป้า 4.8 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:          

  • (-) วิตกสงครามการค้าและสงครามค่าเงินกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงเฉลี่ย 2-25%: ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับลงในทิศทางเดียวกันโดยปรับลงเฉลี่ย 2-2.5% ปัจจัยลบหลักมาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ตึงเครียดมากขึ้นและกำลังบานปลายไปสู่การทำสงครามค่าเงินหลังจากค่าเงินหยวนของจีนอ่อนล่าลงต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์สู่ระดับ 7.05 หยวนต่อดอลลาร์ นับเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบ 11 ปี อีกทั้งจีนยังสั่งให้หน่วยงานของรัฐระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่สหรัฐเตรียมการจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่คิดเป็นมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญในอัตรา 10% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป หรือนับตั้งแต่ปี 2008 ขณะที่สหรัฐออกแถลงการณ์เพิ่มเติมโดยระบุว่าการลดค่าเงินของจีนเป็นการเจาะจงที่จะปั่นค่าเงินให้ลดลง เพื่อได้เปรียบในการส่งออก ซึ่งสหรัฐจะร้องเรียนไปที่ IMF เพื่อเข้ามาตรวจสอบการกระทำดังกล่าว
  • (-) การลดค่าเงินหยวนไม่ได้กระทบเพียงแค่สหรัฐ แต่จะกระทบไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าของจีนรวมถึงไทย: แม้การลดค่าเงินหยวนของจีนจะทำไปเพื่อช่วยเหลือธุรกิจส่งออกของจีนไปยังสหรัฐโดยทำให้ราคาสินค้าจีนลดลงในสายตาของผู้นำเข้าในอเมริกาซึ่งช่วยลดผลกระทบจากราคาที่แพงขึ้นจากการถูกเรียกเก็บภาษี แต่การลดค่าเงินมีผลกระทบมากกว่าผลทางภาษี เพราะจะกระทบไปทุกกลุ่มสินค้า (ภาษีกระทบเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ถูกเรียกเก็บ) และยังส่งผลไปยังกลุ่มประเทศคู่ค้าอื่นๆทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่เป็นประเทศคู่ค้ากับจีนโดยตรง เนื่องจากการลดลงของค่าเงินหยวนจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าของจีนสูงขึ้น ทำให้จีนนำเข้าลดลง แนวทางนี้จะกดดันให้ประเทศต่างๆต้องลดค่าเงินตามจีนเพื่อรักษาอำนาจต่อรองในการค้าขายกับจีน นั่นหมายความว่าหากจีนยังลดค่าเงินหยวนลงอีกจะทำให้กลุ่มประเทศคู่ค้าต้องลดค่าเงินตามผ่านการลดดอกเบี้ย และสุดท้ายอาจจะกดดันให้เกิดเงินทุนไหลออก ส่งผลลบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ  
  • (-) กลุ่มธุรกิจส่งออกสินค้าไปจีนจะได้รับผลกระทบ อาทิ ยางพารา ปิโตรฯ ถ่านหิน อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มส่งออกอาหารจำพวกไก่: ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่ากลุ่มประเทศคู่ค้ากับจีนจะได้รับผลกระทบจากการที่จีนลดค่าเงินหยวนเพราะสินค้านำเข้าของจีนจะแพงขึ้นกดดันให้จีนนำเข้าลดลง ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะไทยมีสัดส่วนส่งออกไปจีนสูงถึง 11% รองจากที่ส่งออกไปสหรัฐที่ 12-13% ดังนั้นกลุ่มสินค้าส่งออกไทยที่ส่งออกไปจีนจะได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว อาทิ กลุ่มยางพารา (STA), กลุ่มธุรกิจปิโตรฯ (SCC, PTTGC, IRPC, IVL), กลุ่มถ่านหิน (BANPU) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA), กลุ่มส่งออกอาหารโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากไก่ อาทิ CPF และ GFPT นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากค่าเงินจีนที่ลดลงคือ กลุ่มท่องเที่ยว (AOT,AAV, MINT, CENTEL)