Selective buy

Selective buy

รอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้น Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน

ลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์: SET Index ปรับตัวลง -15.04 จุด (-0.88%) ปิดที่ระดับ 1,684 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.2 หมื่นล้านบาท จากความกังวล Trade war หลังสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์มีผล 1 ก.ย. ประกอบกับเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในพื้นที่กทม. ส่งผลให้นักลงทุนขายลดความเสี่ยงลง โดยส่วนใหญ่เป็นแรงขายในกลุ่ม Energy, Petro และ Etron นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 3,632 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 22,547 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 80 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบแนวรับ 1,672 - 1,680 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ เนื่องจากภาวะตลาดยังคงถูกปัจจัยลบความกังวล Trade war จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก หลังสหรัฐเตรียมเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์มีผล 1 ก.ย. ประกอบกับ Fed ไม่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงถัดไปส่งผลให้เกิดภาวะ Risk off ในสินทรัพย์เสี่ยงโดย Fund Flow ต่างชาติเป็นฝั่ง Net Sell ในตลาดหุ้นและ Net Short TFEX 2 วันติดต่อกัน ซึ่งเป็นตัวถ่วงต่อทิศทางดัชนีในช่วงนี้ ดังนั้น เรายังคงแนะนำให้รอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้น Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (EA, BGRIM, GPSC, CKP, TU, GFPT, TFG, CPALL, MTC, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)
  • Defensive Stock  (BTS, TPCH)

หุ้นแนะนำวันนี้: JMT (ปิด 17.24 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) ราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิของ JMT ในปีนี้จะพุ่งทำ All time high ได้ในทุกไตรมาสจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี และวันนี้ยังได้ Sentiment บวกจากข่าวที่ธนาคารพาณิชย์เตรียมขายหนี้เสียเพิ่มอีกกว่า 2 แสนล้านบาทในปีนี้, KKP (ปิด 72.25 ซื้อ/เป้า 77 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 3 เดือนที่ผ่านมา KKP +10% แต่ TISCO+20%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี โดยที่ KKP มีปันผลระหว่างกาลขณะที่ TISCO จะจ่ายปันผลครั้งเดียว ณ ตอนสิ้นปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ อาทิ ดีลควบรวม TMB + TBANK และ ดีล CRC ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว,

KSS report วันนี้TU (ปิด 18.8 ซื้อ/เป้า 22.4 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

(+/-) ระเบิดป่วนกรุงคาดกระทบแค่ช่วงสั้น สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใหม่เพิ่มเติม: จากกรณีเกิดเหตุการณ์ระเบิด 9 แห่งในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นตะหนกกับประชาชนและทำลายความเชื่อมั่นกับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะกระทบต่อ Sentiment การลงทุนแค่ช่วงสั้นเท่านั้นเนื่องจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นไม่มีผู้เสียชีวิต และในระหว่างช่วงหยุดเสาร์- อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จึงเชื่อว่าในท้ายที่สุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะค่อยๆฟื้นกลับมา

(+/-) Trade war จีนกับสหรัฐ ยังไม่นิ่ง ล่าสุดทรัมป์ แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ว่า การเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้ากับจีนกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น: นักลงทุนกำลังสับสนและเริ่มไม่มั่นใจกับท่าทีของโดนัล ทรัมป์ ต่อกรณีข้อพิพาทการค้ากับจีนหลังจากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดนัล ทรัมป์ แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน โดยในวันพฤหัสบดี ทรัมป์ ระบุจะให้สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่มูลค่า 3 แสนล้านเหรียญฯในอัตราภาษี 10% มีผลบังคับใช้ 1 ก.ย.19 แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทรัมป์กลับแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์อีกครั้งโดยระบุว่าปัจจุบันการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกำลังดำเนินการไปด้วยดี ทำให้นักลงทุนบางส่วนเกิดความหวังว่าสหรัฐอาจจะเลื่อนหรือชะลอการขึ้นภาษีดังกล่าวกับจีนออกไปก่อน สถานการณ์ที่พลิกไปพลิกมาแบบนี้จะยังทำให้ภาพการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นบ้านเรายังคงผันผวนคล้ายกับในสัปดาห์ที่ผ่านมา

(+/-) ตัวเลข Nonfarm payrolls ของสหรัฐออกมาตามคาด ทำให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าเฟดจะต้องรีบลดดอกเบี้ย : เนื่องจากการประชุมของเฟดในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปทำให้นักลงทุนในตลาดต้องมาติดตามการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเพื่อจับทิศทางการดำเนินนโยบายของเฟดโดยเฉพาะหากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอ่อนแอมากๆจะทำให้นักลงทุนมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเฟดจะต้องเร่งลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามจากข้อมูลเมื่อวันศุกร์กลับพบว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ (Nonfarm payrolls) เดือน ก.ค.ออกมาในโทนเป็นกลางโดยเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งลดลงจากเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 193,000 ตำแหน่ง แต่ก็ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้ที่ 165,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 3.7% ค่าจ้างต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยไม่ได้เร่งตัวขึ้นมากโดยเพิ่มขึ้น 0.3%mom เท่ากับเดือนก่อนหน้า นั้นหมายความว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาในช่วงนี้ยังไม่ได้อ่อนแอหรือชี้ชัดได้ว่าเฟดจะต้องรีบลดดอกเบี้ยลง