Selective buy

Selective buy

ประเมินว่าภาวะตลาดจะเป็นลักษณะเดิมคือ Selective หุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกรวมถึงกลุ่มที่งบ 2Q19 เติบโต

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ดีดตัวขึ้น +5.46 จุด (+0.32%) ปิดที่ระดับ 1,731 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.8 หมื่นล้านบาท โดยปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคตอบรับการแถลงนโยบายของรัฐบาล รวมถึงคาดหวังการประชุม ECB จะส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมถึงการใช้มาตรการ QE ในช่วงถัดไป ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงซื้อในกลุ่ม FIN และ HEALTH  ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นฝั่งซื้อสุทธิ 1,302 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 793 ล้านบาท  แต่ Net Short TFEX จำนวน 6,238 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,720 – 1,740 จุด โดยคาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อ/ขายเพื่อติดตามการประชุมสำคัญในวันที่ 30 – 31 ก.ค. ได้แก่ การประชุม FED ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% รวมถึงการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนที่กรุงปักกิ่งซึ่งคาดว่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปแต่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ผลการประชุม ECB ที่ออกมาเป็นกลางโดยคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0% แต่ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจึงอาจไม่เร่งการใช้มาตรการ QE อีกทั้งในช่วงท้ายตลาดอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว 3 วัน ดังนั้น ประเมินว่าภาวะตลาดจะเป็นลักษณะเดิมคือ Selective หุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกรวมถึงกลุ่มที่งบ 2Q19 เติบโต

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP, TU, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)

หุ้นแนะนำวันนี้: TU (ปิด 19.4 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 21.4 บาท) ทยอยสะสมคาดผลกำไร 2Q19 เติบโตโดดเด่นจากต้นทุนทูน่าที่ลดลงราว 38%yoy ส่งผลให้ GPM รวมของ TU น่าจะสูงขึ้นจาก 13.8% ใน 1Q19 ไปเป็น 16% ซึ่งผลบวกดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเนื่องไปจนถึง 3Q19, WORK (ปิด 30 ซื้อ/เป้า 35 บาท) เป็นทั้งหุ้น Turnaround และหุ้น Value stock โดยผลประกอบการค่อยๆฟื้นตัวจากการเร่งปรับผังรายการใหม่ซึ่งแต่ละรายการกระแสตอบรับค่อนข้างดีโดยเฉพาะรายการ 10 Fight 10 ขณะที่ WORK มี Cash flow ล้นมือเนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าไลเซนต์งวดที่ 5 และ 6 คาดว่า WORK จะนำกระแสเงินสดดังกล่าว มาจ่ายปันผลเพิ่ม หรือ ซื้อหุ้นคืน หรือจะเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มฐานกำไรให้ WORK ในอนาคตก็ได้

KSS report วันนี้: Thailand Strategy (ECB’s clearly dovish stand suggests another round of global easing soon)

ประเด็นสำคัญวันนี้:          

  • (+) ECB คงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่ส่งสัญญาณอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยหรือนำ QE กลับมาใช้ในการประชุมครั้งถัดไป: ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ตามที่เราและที่ตลาดคาด ECB มองเศรษฐกิจยูโรโซนอยู่ในภาวะชะลอตัวแต่ไม่ได้น่ากังวล และยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดย ECB ส่งสัญญาณอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือนำ QE กลับมาใช้อีกครั้ง โดยเร็วสุดคาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมครั้งถัดไปในช่วงวันที่ 12 ก.ย.19
  • (+) มูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ Baa1 แต่ปรับ Outlook ดีขึ้นจาก Stable เป็น Positive คล้ายกับมุมมองของ Fitch Rating: Moody’s Investors Service (Moody’s) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ Baa1 ตามเดิมแต่ปรับมุมมอง (Outlook) ดีขึ้นจาก Stable เป็น Positive เนื่องจากมีความมั่นใจต่อสถานการเงินและการคลังที่แข็งแกร่งและยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐโดยเฉพาะโครงการ EEC Project จะช่วยหนุนการลงทุนภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้นและเป็นการยกระดับการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งการประกาศของ Moody เป็นไปในมุมมองเดียวกับ Fitch rating และคาดว่า S&P จะมีการปรับอันดับเครดิตและมุมมองในทิศทางเดียวกันกับ Moody และ Fitch ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อทิศทาง Fund flow ต่างชาติไหลเข้าไทยต่อเนื่อง
  • (+/-) สหรัฐประกาศ GDP ไตรมาส 2/19 คืนนี้ จะส่งผลต่อคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในสัปดาห์หน้า: คืนนี้สหรัฐจะประกาศ GDP ไตรมาส 2/19 Consensus คาดว่าจะขยายตัว 1.8% ชะลอตัวจากไตรมาส 1/19 ที่ 3.1% ตัวเลข GDP เป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดที่เฟดใช้ร่วมในการปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยดังนั้นตัวเลข GDP ในคืนวันนี้จึงมีผลต่อความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมที่จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค.ที่จะถึงนี้ หาก GDP ไตรมาส 2/19 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.5% จะมากขึ้นอาจจะเป็น Positive surprise ต่อทิศทางของ Fund flow ในสัปดาห์หน้า แต่หากตัวเลขดีกว่าที่ตลาดคาดหรืออยู่ในกรอบ 2-3% จะทำให้ความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% จะมากกว่า แต่คาดว่าตลาดหรือ Fund Flow จะไม่เปลี่ยนแปลงมากหากเป็นไปตามแนวทางนี้