'จุรินทร์' มั่นใจประกันรายได้ไม่กระทบวินัยการคลัง

'จุรินทร์' มั่นใจประกันรายได้ไม่กระทบวินัยการคลัง

“จุรินทร์” แจงมาตรการประกันรายได้ เร่งเจรจาอาร์เซ็ปให้เสร็จตามเป้าปีนี้ ฟื้นเจราจาเอฟทีเอไทย-อียู พร้อมนัดถกกรอ.นัดแรก 14 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.62 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายประกันรายได้เกษตรกร มาตรการส่งออก ที่สมาชิกรัฐสภาอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า นโยบายประกันรายได้ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งนโยบายดังกล่าวไม่ใช่นโยบายประกันราคาพืชผลทางการเกษตร เพราะเป็นการขัดกับองค์การการค้าโลก หรือดับบลิวทีเอ โดยนโยบายประกันรายได้เกษตรกรมีหลักการสำคัญคือ ให้เกษตรกรมีรายได้ชดเชยจากราคาพืชผลทางการที่ตกต่ำ ไม่สามารถขายพืชผลทางการเกษตรได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยรจะได้รับเงินจากส่วนต่างของราคา โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายให้ เช่น ราคาข้าวตันละ 10,000 บาทแต่ราคาตลาด 8,000 บาทต่อตัน ซึ่งมีส่วนต่าง 2,000 บาท รัฐบาลก็จะจ่ายเงินค่าส่วนต่างนี้ให้กับเกษตรกรโดยส่งเงินผ่านบัญชีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับ ธกส. โดยพืชผลทางเกษตรที่รัฐบาลจะประกันมี 5 ตัว คือ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม ข้าวโพด ส่วนพืชผลการเกษตรอื่นๆรัฐบาลก็จะดูแลเช่นกัน ทั้งนี้การประกันรายได้ว่าจะใช้เงินเท่าไรในพืชแต่ละตัวจะมีการพูดคุยกับคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับพืชเกษตรตัวนั้น

ส่วนข้อกังวลว่า งบประมาณที่ใช้จะเป็นภาระงบประมาณแผ่นดินนั้น ไม่ต้องกังวลเพราะรัฐบาลจะใช้มาตราอื่นๆควบคู่กันไปด้วย เช่น มาตรการชดเชยรายได้ การนำพืชผลทางการเกษตรบางตัวไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น นำยางพาราไปถนน ส่วนปาล์มก็นำไปทำน้ำมันดีเซลบี 10 บี 100 หรือนำไปผลิตไฟฟ้า การเร่งรัดการส่งออก นอกจากนี้จะทำในเรื่องของเกษตรพันธะสัญญา หรือคอนเทรคฟาร์มมิ่ง โดยจะให้เกษตรกรจับคู่กับผู้ซื้อ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นั้นกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายชัดเจนที่จะขยายความร่วมมือทางการค้ากับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเจรจาการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ระหว่างอาเซียน และคู่เจรจา 6 ประเทศ คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งอาร์เซ็ปเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประชากรกว่า 3,560 ล้านคน หรือเกือบครึ่งของประชากรโลก มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 11.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 30% ของมูลค่าการค้าโลก โดยในวันที่ 31 ก.ค.-3 ส.ค.ตนจะเป็นประธานประชุมอาร์เซ็ปที่ปักกิ่ง ก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้การเจรจาอาร์เซ็ปให้จบตามเป้าหมายของผู้นำทั้ง 16 ประเทศภายในสิ้นปีนี้ เพราะจะเป็นโอกาสของไทยในการตลาดการค้ามากขึ้น รวมทั้งจะมีฟื้นการเจราความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปหรืออียูที่สะดุดมานานเนื่องจากสถานการณ์การเมืองด้วย

ขณะนี้มาตรการการผลักดันการส่งออกนั้นนอกจากจะรักษาตลาดเดิมแล้วก็จะเร่งเปิดตลาดใหม่ พร้อมกับฟื้นตลาดเดิมที่เคยหายไป เช่น การฟื้นตลาดข้าวอิรัก ซึ่งตนได้มีการพูดคุยกับสมาคมส่งออกข้าวไทยแล้ว นอกจากนี้ยังได้ตั้งกรอ.พาณิชย์ ซึ่งเป็นเวทีหารือร่วมภาครัฐ และเอกชน ในการร่วมมือในการผลักดันการส่งออก โดยจะมีการนัดประชุมครั้งแรกใน 14 ส.ค.นี้ พร้อมกันนี้จะเน้นให้มีการค้าชายแดนมากขึ้น เพราะถือเป็นตลาดที่มีอนาคตและมีมูลค้าการค้าสูง และตนจะเรียกประชุมทูตพาณิชย์ในเดือนก.ย.เนื่องจากทูตพาณิชย์ถือเป็นกลไกสำคัญในเรื่องของการส่งออก โดยได้สั่งการให้ทูตย์พาณิชย์กำหนดเป้าตัวเลขการส่งออกของแต่ละประเทศ รวมทั้งลู่ทางการส่งออกชของไทยด้วย ทั้งมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการเร่งรัดได้ตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงได้