เพื่อนพนักงาน เปิดพิรุธสจ๊วตบินไทยฉาวขอเปลี่ยนไฟลท์ไปแต่ญี่ปุ่น ตั้งข้อสงสัยลักลอบขนบุหรี่ไฟฟ้านานร่วมปี ด้านบริษัทการบินไทยแจงเป็นคนแจ้งเบาะแสให้กรมศุลฯ ตรวจจับ ยันรู้ตัวสจ๊วตคนทำผิดอยู่ระหว่างสอบสวน ย้ำโทษสูงสุดไล่ออก
จากกรณีที่ “คมชัดลึก” เปิดเผยเรื่องอื้อฉาวของสจ๊วตการบินไทยลักลอบขนบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พนักงานเป็นจำนวนมาก เพราะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนร่วมงานกันทั่วหน้า โดยเฉพาะพนักงานขับรถขนส่งลูกเรือในวันเกิดเหตุ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ต้องรับเคราะห์ถูกตั้งกรรมการสอบสวน ส่วนเจ้าตัวยังลอยนวล และเพื่อนพนักงานต้องการให้ดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งการลงโทษแบบเด็ดขาดจากทางบริษัท
ล่าสุดวันที่ 25 กรกฎาคม ทาง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดย นายสุธีรัชต์ ศิริพลานนท์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายบริการบนเครื่องบิน ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมเปิดเผยว่า กรณีที่มีข่าวพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายลักลอบนำบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากเข้ามาประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2562 โดยบริษัทฯ ได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายคนหนึ่งของเที่ยวบินที่ ทีจี 677 เส้นทางนาริตะ-กรุงเทพฯ ซื้อบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมากอย่างผิดสังเกตที่ร้านค้าปลอดภาษีในท่าอากาศยานนาริตะ จากนั้นบริษัทฯ จึงได้แจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อเตรียมการตรวจจับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เอ็กซ์เรย์ตรวจค้นพนักงานต้อนรับฯ ในเที่ยวบินดังกล่าวทุกคน และไม่พบว่ามีบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด แต่พบกระเป๋าที่วางไว้ข้างคนขับรถขนส่งพนักงานจากลานจอดเครื่องบินกลับมายังอาคารศูนย์ปฏิบัติการ การบินไทยที่สุวรรณภูมิ ซึ่งภายในกระเป๋ามีบุหรี่และไส้บุหรี่ไฟฟ้าบรรจุอยู่จำนวนมาก โดยไม่มีพนักงานต้อนรับฯ คนใดแสดงตัวเป็นเจ้าของ
นายสุธีรัชต์ กล่าวว่า ขณะนี้ บริษัทฯ รู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ซึ่งบริษัทฯ จะลงโทษตามระเบียบบริษัทฯ ต่อไป โดยมีโทษสูงสุดถึงขั้นไล่ออก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ มีมาตรการป้องปรามไม่ให้พนักงานต้อนรับฯกระทำผิด ทั้งการฝึกอบรมและย้ำเตือนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พนักงานรับทราบถึงโทษที่จะได้รับเมื่อกระทำความผิด โดยให้หัวหน้างานสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด และให้ความร่วมมือกับศุลกากร ด้วยการแจ้งเบาะแสรวมทั้งทำการสุ่มตรวจค้นเมื่อพนักงานต้อนรับฯ เดินทางถึงประเทศไทย
ขณะเดียวกันยังมีแหล่งข่าวที่เป็นสจ๊วตการบินไทยรายหนึ่ง ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมกับ “คมชัดลึก” ว่า พฤติกรรมของสจ๊วตฉาวคนดังกล่าวน่าจะลักลอบขนบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าผิดกฎหมายของไทยมานานแล้ว ครั้งนี้น่าจะไม่ใช่ครั้งแรก ซึ่งอาจจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพบพิรุธน่าสงสัยเกี่ยวกับตารางการบิน ซึ่งส่วนใหญ่จะบินไปแต่ประเทศญี่ปุ่น หากไม่มีตารางการบินไปญี่ปุ่นก็จะทำการแลกไป แม้กระทั่งหลังวันเกิดเหตุคือ คืนวันที่ 20 กรกฎาคม ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรมาตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า สจ๊วตคนดังกล่าวยังมาทำงานปกติในวันที่ 22 กรกฎาคม ด้วยการบินไปที่ญี่ปุ่นอีก และกลับมาไทยในคืนวันที่ 23 กรกฎาคม ก่อนจะยื่นใบลาป่วย โดยจะกลับมาทำงานอีกครั้งในวันที่ 30 กรกฎาคม
“พฤติกรรมของสจ๊วตคนนี้เหมือนนกรู้ไหวตัวทัน จริงอยู่ที่ทางบริษัทเป็นคนประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจจับเมื่อถึงไทย นั่นก็เพราะความแตกจากผู้โดยสารซึ่งเป็นลูกค้าวีไอพี และนั่งติดกับพนักงานการบินไทยระดับซูเปอร์ไวเซอร์ เพราะเขาเห็นสจ๊วตคนนี้ซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก และรู้ว่าเป็นสินค้าที่ผิดกฏหมาย มีโทษทั้งจำคุกและปรับ แต่ทำไมถึงได้ซื้อเยอะขนาดนี้ จึงนำมาเล่าให้พนักงานการบินไทยระดับซูเปอร์ไวเซอร์ที่นั่งติดกันฟัง ประกอบกับบนเครื่องมีไวไฟ ทำให้พนักงานคนนั้นแจ้งเรื่องให้ทางบริษัทดำเนินการ ถึงได้มีเจ้าหน้าที่ศุลกากรมาตรวจค้น แต่เจ้าตัวเหมือนจะรู้เลยทิ้งกระเป๋าที่มีบุหรี่ไฟฟ้าบนรถรับส่งลูกเรือ แล้วก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปวางไว้ข้างคนขับรถบอกว่าฝากด้วยนะ ก่อนจะลงไปแล้วก็ออกไปจากสนามบิน ความซวยจึงมาตกที่คนขับรถ เพราะถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น มีการตั้งกรรมการสอบ ขณะเดียวกันก็ได้นำไอแพดเปิดรูปสจ๊วตให้คนขับรถชี้ตัวว่าใครเป็นเจ้าของกระเป๋า และมีการชี้ไปเรียบร้อย ส่วนการสอบถามเบื้องต้นกับทางสจ๊วตเจ้าของกระเป๋าก็ปฏิเสธเพียงว่าไม่ใช่ของตัวเอง” แหล่งข่าวคนเดิม ระบุ
แหล่งข่าวรายนี้ ยังบอกอีกว่า ทางบริษัทรู้แล้วว่าเป็นใครที่ทำผิด แต่กลับไม่ดำเนินการ แถมยังปล่อยให้เขาบินไปญี่ปุ่นอีกหลังเกิดเรื่อง และอนุมัติให้ลาป่วยอีก แทนที่จะถูกตั้งกรรมการสอบเหมือนพนักงานขับรถรับส่งลูกเรือ เพียงแค่มีมาตรการขั้นต้นด้วยการสั่งห้ามไม่ให้สจ๊วตคนนี้มีตารางบินไปญี่ปุ่นอีก ป่านนี้สจ๊วตคนนี้อาจจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้วก็ได้ และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่น เนื่องจากมีคำสั่งอย่างไม่เป็นทางการ คือสั่งด้วยวาจา ยังไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ต่อไปนี้ห้ามพนักงานขับรถรับลูกลูกเรือช่วยขนสัมภาระให้กับพนักงานต้อนรับทั้งชายและหญิง โดยให้พนักงานต้อนรับทุกคนรับผิดชอบสัมภาระของตัวเองเท่านั้น ทำให้แอร์โฮสเตสบางคนที่อายุมาก หรือบางคนที่ข้อมือไม่ดี ต้องขนกระเป๋าที่หนักเอง โดยไม่มีใครคอยช่วย