TCAP - ถือ

TCAP - ถือ

ขั้นตอนการควบรวมยังเดินหน้า แต่ค่อนข้างช้า

Event

ประชุมนักวิเคราะห์

lmpact

คาดว่าจะต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นใน 2H62

ธนาคารได้กลับรายการสำรองส่วนเกิน/สำรองทั่วไปเพื่อชดเชยผลจากการกันสำรองเพิ่มขึ้นสำหรับผลประโยชน์พนักงานเกษียณอายุ และทำให้ต้นทุนการตั้งสำรองฯ/สินเชื่อ (credit cost) ต่ำกว่าปกติ โดยอยู่ที่แค่ 49bps ใน 2Q62 และ 50bps ใน 1H62 ทั้งนี้ TCAP บอกว่า credit cost ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 60bps ซึ่งหมายความว่า credit cost จะเพิ่มขึ้นใน 2H62 โดยในประมาณการกำไรปี 2562-63 ของเราใช้สมมติฐาน credit cost อยู่ที่ปีละ 70 bps

กำลังอยู่ระหว่างทำตรวจสอบทรัพย์สิน(due diligence) ดีล M&A

หลังจากที่ประกาศดีล M&A ออกมาเมื่อหกเดือนก่อน TCAP ก็เปิดเผยว่าขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทำตรวจสอบทรัพย์สินของทั้ง TCAP และ TMB ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว พร้อมกันนี้ ธนาคารก็ได้ยื่นขออนุญาตจาก ธปท. เพื่อควบรวมกิจการ และเตรียมเสนอผู้ถือหุ้นให้ความเห็นชอบดีลนี้ ทั้งนี้ ดีลนี้ยังมีเงื่อนไขอีกหลายขั้นตอน อย่างเช่น ได้รับอนุญาตจากธปท., การจัดประชุมเพื่อขอความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น, กรมสรรพากรอนุมัติให้ยกเว้นภาษีการโอนกิจการเพื่อการควบรวมกิจการ, TCAP มีการซื้อบริษัทลูกบางแห่งกลับมา (TSF AMC, บริษัทหลักทรัพย์, THANI) จาก Tbank เพื่อให้มาอยู่ภายใต้ TCAP

จะมีเงินทุนส่วนเกินก้อนใหญ่ ภายหลังจบดีลควบรวม

หลังจากที่ทำดีล M&A จบ TCAP จะถือหุ้น TMB (entity ใหม่) ประมาณ 20% ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องรวมงบการเงินแต่รับรู้ผลประกอบการในรูปของ equity income ตามสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้น งบดุลจึงแสดงถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดจำนวนมาก และหนี้น้อย โดยมีสัดส่วน D/E อยู่ที่ประมาณ 0.2x และมีเงินสดในมือก้อนโตถึงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีทางเลือกในการนำเงินสดส่วนเกินนี้ไปใช้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพหลายทาง โดยอาจจะเป็นการซื้อหุ้นคืน, ซื้อสินทรัพย์ใหม่ หรือจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้นก็ได้

คงคำแนะนำ ถือ และให้ราคาเป้าหมายปี 62F ที่ 61.0 บาท (P/E 10x, P/BV 0.95x)

มุมมองของผู้บริหารแสดงว่าดีลควบรวม (M&A) อาจจะส่งผลดีกับ TCAP มากกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินสดในมือก้อนโตหลังดีลจะทำให้ธนาคารมีทางเลือกมากขึ้นในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดีล M&A ยังต้องใช้เวลาอีกนาน เราจึงยังคงคำแนะนำ ถือ และให้ราคาเป้าหมายที่ 61 บาท