SCCC - ซื้อ

SCCC - ซื้อ

ประมาณการ 2Q62: ถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

Event

ประมาณการ 2Q62

lmpact

คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 2Q62F จะลดลงทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SCCC ใน 2Q62F จะอยู่ที่ 915 ล้านบาท (-12.0% YoY, -12.2% QoQ) โดยกำไรที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ จะมีสาเหตุสำคัญมาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานตามแผน (2 จากทั้งหมด 6 ยูนิต เป็นเวลา 10 วัน) ซึ่งมีต้นทุนประมาณ 300 ล้านบาท เราคาดว่ารายได้ใน 2Q19F จะอยู่ที่ 1.17 หมื่นล้านบาท (+4.9% YoY, -1.9% QoQ) ในขณะที่ราคาขายยังทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้น 4% YoY และอัตรากำไรขั้นต้นก็น่าจะทรงตัว QoQ อยู่ที่ 32.5% (จาก 32.7% ใน 1Q62 และ 37.2% ใน 2Q61) แม้ว่าจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานก็ตาม (เพราะใน 1Q62 ก็มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานที่เวียดนามเป็นเวลา 20 วัน) เราคาดว่าสัดส่วน SG&A/ยอดขายจะเพิ่มขึ้นจาก 21.8% เป็น 24.2% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสำรองผลประโยชน์พนักงาน (249 ล้านบาท) เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 1H62F จะคิดเป็น 51.8% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา

ผลการดำเนินงานที่กัมพูชาเป็ นดาวรุ่งในขณะที่ตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคยังท้าทาย

เราคาดว่าอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในกัมพูชายังคงแข็งแกร่งเนื่องจาก SCCC ระบุว่าโรงงานของบริษัทเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้วแต่ก็ยังตอบสนองอุปสงค์ได้ไม่เพียงพอ และ SCCC ต้องส่งออกปูนข้ามชายแดนเสริมเข้าไปอีก จากข้อมูลของกระทรวงการบริหารจัดการที่ดิน ผังเมือง และการก่อสร้างของกัมพูชา เม็ดเงินลงทุนในกิจกรรมก่อสร้างในงวด 4M62 เพิ่มขึ้นถึง 67% YoY โดยในปัจจุบัน Chip Mong INSEE (SCCC ถือหุ้น 40%) มีส่วนแบ่งตลาด 26% ในกัมพูชา ในขณะที่ตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ยังท้าทาย อย่างเช่นตลาดเวียดนามซึ่งเผชิญภาวะต้นทุนสูง (จากต้นทุนปูนเม็ดและค่าไฟฟ้าที่สูง) และตลาดศรีลังกาซึ่งอุปสงค์ยังอ่อนแอ แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าผู้ผลิตปูนซีเมนต์จะสามารถปรับขึ้นราคาได้ในปีนี้
และโครงการโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยหนุนอุปสงค์ในศรีลังกาในปีหน้า

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-63 ลง 12.9% และ 11.9% เพื่อสะท้อนถึงการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน

เราปรับลดประมาณการรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นลงเพื่อสะท้อนถึงการปิดซ่อมบำรุงโรงงานในประเทศไทย (2 unit ใน 2Q62 ,1 unit ใน 4Q62 และ 1 unit ในปี 2563) โดยเราได้ปรับลดประมาณการรายได้ปี 2562 และ 2563 ลง 0.7% และ 1.6% เพื่อสะท้อนถึงปริมาณยอดขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน และปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2562 ลงจาก 35.1% เหลือ 34.0% และปี 2563 จาก 35.6% เหลือ 34.4% เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนในการซ่อมบำรุง

Valuation and action

เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายกลางปี 2563 ที่ 280 บาท อิงจาก P/E เฉลี่ยระยะยาวที่ 21.0x ซึ่งที่ระดับราคาปัจจุบันคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2562-63 ที่ 5.0% ซึ่งสูงกว่าของ SET ที่ 3.0% เราคาดว่าโครงการภาครัฐที่รออยู่ข้างหน้าจะช่วยหนุนให้อุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

Risks

ต้นทุนถ่านหิน และค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น, ความล่าช้าในการลงทุนภาครัฐ, การแข่งขันด้านราคา