กทท.เพิกถอนใบอนุญาตทัวร์ 'อีแอลซี' มีผลตามกม.แล้ว คาดเสียหายพันล้าน

กทท.เพิกถอนใบอนุญาตทัวร์ 'อีแอลซี' มีผลตามกม.แล้ว คาดเสียหายพันล้าน

คืบหน้า กทท. เพิกถอนใบอนุญาต "อีแอลซีทัวร์" ที่มีผู้เสียหายร้องเรียนกับเนชั่นทีวี ปมฉ้อโกงเงินค่าแพ็กเกจท่องเที่ยว ลักษณะจ่ายเงินครบ แต่ไม่ได้เดินทางตามสัญญา คาดว่ามีผู้เสียหายมากถึง 5,000 คน เสียหายพันล้านบาท

กรณี “อีแอลซีทัวร์” ที่มีผู้เสียหายร้องเรียนกับเนชั่นทีวีว่า ปมถูกบริษัททัวร์ฉ้อโกงเงินค่าแพ็กเกจท่องเที่ยว ลักษณะคือจ่ายเงินครบ แต่ไม่ได้เดินทางตามสัญญา โดยคาดว่ามีผู้เสียหายมากถึง 5,000 คน มูลค่าความเสียหายหลักพันล้านบาทตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา นางวันทนา แจ้งประจักษ์ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว (กทท.) ในฐานะนายทะเบียนกลาง ให้สัมภาษณ์กับเนชั่นทีวี ว่า กทท. ได้มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจท่องเที่ยวของบริษัท อีแอลซีกรุ๊ป จำกัดแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. 2562 หลังครบกำหนด 7 วัน ที่นายทะเบียนกลางออกหนังสือคำสั่งส่งไปยังสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่เลขที่ 11 ถนนเปรมประชาราษฎร์ ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน จ.น่าน โดยท้ายคำสั่งระบุว่า ให้เจ้าของหรือตัวแทนบริษัทเข้าพบ แต่ปรากฎว่าไม่ได้เดินทางมา และติดต่อไม่ได้

1_60

สำหรับพฤติการณ์ ส่อว่ากระทำความผิดของบริษัทอีแอลซี จนนำมาสู่การเพิกถอนใบอนุญาตนั้น รองอธิบดี กทท. บอกว่า เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ มาตรา 26 ระบุรายละเอียดการประกาศขาย หรือชี้ชวน ไม่ครบ 9 ข้อตามที่กำหนด โดยมีการระบุเพียง 3 ข้อเท่านั้น อีกทั้งไม่แจ้งโปรแกรมทัวร์ให้ลูกค้าได้ทราบก่อนจ่ายเงิน และมาตรา 30 มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากลูกทัวร์โดยที่ไม่ยินยอม ทั้งค่าแพคเกจ ค่าทิปไกด์ ค่าทำวีซ่า และยังขอยืมเงิน หรือขอให้ลูกทัวร์ช่วยเหลือฟรีๆ

โดยคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต จะส่งผลให้บริษัทอีแอลซี ไม่สามารถขายทัวร์ได้อีกต่อไป และต้องรับผิดชอบลูกทัวร์ที่ตกค้างก่อนหน้านี้ โดยจัดท่องเที่ยวตามโปรแกรม เพื่อเคลียร์ลูกทัวร์ออกให้หมดภายใน 3 เดือน โดยจะครบกำหนดในวันที่ 21 ต.ค.2562 หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการเองได้ ให้หาผู้ประกอบการรายอื่นมาดำเนินการแทนภายในเวลาที่กำหนด ส่วนลูกทัวร์ที่ไม่ประสงค์เดินทางต่อ ให้ติดต่อกับทางบริษัทเพื่อขอเงินคืนได้ หากติดต่อไม่ได้ หรือโดนปฏิเสธความรับผิดชอบ ให้นำเอกสารหลักฐานไปยื่นกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือจะเดินทางมาร้องเรียนที่กรมการท่องเที่ยวก็ได้

ส่วนในทางคดี กทท.จะดำเนินคดีอาญากับบริษัทอีแอลซีได้ ต่อเมื่อบริษัทฝ่าฝืนไม่ดำเนินการรับผิดชอบลูกทัวร์ภายในระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่มีการเพิกถอนใบอนุญาต โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท และกรณีที่มีหลักฐานว่า หลังโดนเพิกถอนใบอนุญาตแล้ว บริษัทยังขายทัวร์เพิ่มโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 500,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์

หลังจากนี้ กทท. จะรวบรวมข้อมูลผู้ร้องเรียน จำนวนกว่า 300 ราย ไปยื่นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป รวมถึงยื่นให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบว่า มีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากผู้ร้องเรียนระบุตรงกันว่า ตั้งแต่ขายทัวร์มาบริษัทไม่เคยออกใบเสร็จให้ลูกค้า มีเพียงสลิปโอนเงินเป็นหลักฐานเท่านั้น

2_73

“ทางกรมการท่องเที่ยว ไม่ได้เพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น เพียงแต่ที่ผ่านมายังดำเนินการอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากเขายังไม่ผิด แต่หลังจากเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เราเริ่มพบความผิด เนื่องจากเขาโดนเพิกถอนวีซ่า และเริ่มเททัวร์ เราจึงตักเตือนไป แต่เขาก็ยังทำผิดอยู่เรื่อยๆ กระทั่งเดือนมิ.ย. เห็นชัดว่าผิดมาตรา 26 คือไม่มีโปรแกรมทัวร์ให้นักท่องเที่ยว จึงสั่งพักใบอนุญาต 1 เดือน ระหว่างวันที่ 13 มิ.ย.-12 ก.ค. ระหว่างนั้นก็ยังได้รับร้องเรียนเรื่องการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากนักท่องเที่ยว จนนำมาสู่การเพิกถอนใบอนุญาตในวันที่ 15 ก.ค. ซึ่งเราไม่ได้เพิกเฉย และพยายามทำตามข้อกฎหมายฉบับนี้” รองอธิบดี กทท. กล่าว

สำหรับกรณีบริษัทอีแอลซี ทางกทท. จะยกให้เป็นโมเดลในการควบคุมบริษัททัวร์อื่นๆ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ซึ่งหลายประเด็นยังมีช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่องเงินประกัน 200,000 บาทที่บริษัทวางไว้กับกรมฯ ยังถือว่าน้อยเกินไป ไม่เพียงพอเยียวยาผู้เสียหาย และต้องจ้างที่ปรึกษามาแก้ไขกฎหมาย ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง

รองอธิบดี กทท. ยังฝากคำแนะนำนักท่องเที่ยวว่า ควรเลือกซื้อทัวร์ให้ถูกต้อง โดยตรวจสอบว่าบริษัทมีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ รวมถึงดูรายละเอียดการโฆษณาให้ครบถ้วน และต้องมีใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือการสังเกตราคาทัวร์ หากถูกเกินไปถือว่ามีความเสี่ยง นอกจากนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลบรษัททัวร์ได้ทาง www.tourism.go.th หรือสายด่วนกรมการท่องเที่ยว โทร 02-401-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง