สั่ง4มาตรการ คุมส่งยาฯทางไปรษณีย์-พัสดุภัณฑ์ ฟันบ.ส่งของปล่อยปละ

สั่ง4มาตรการ คุมส่งยาฯทางไปรษณีย์-พัสดุภัณฑ์ ฟันบ.ส่งของปล่อยปละ

รองผบ.ตร.ถกภาครัฐ-เอกชน คุมเข้มส่งยาเสพติดทางไปรษณีย์-พัสดุภัณฑ์ ลั่นเตรียมงัดทุกมาตราการ ทุกข้อกฎหมาย เชือดขบวนค้ายา สั่ง 4 มาตรการฟัน "บริษัทส่งของ" ปล่อยปละ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม 2562 ที่ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต - พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานร่วมกับ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. และพล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รองผบช.ปส. และ พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รองผบช.ปส. เพื่อประชุมหารือแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ไทยพัสดุภัณฑ์ และระบบขนส่ง (Logistics)

โดยมีตัวแทนหน่วยงานต่างๆ อาทิ กอ.รมน. กระทรวงมหาดไทยกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และผู้ประกอบการภาคเอกชนกว่า 14 แห่ง เข้าร่วมประชุมหารือ และขอความร่วมมือเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ รวมถึงชี้แจงมาตรการลงโทษทางกฎหมาย เพื่อบังคับใช้เอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐ ได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด พร้อมกับมีมาตรการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐฯ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จนเป็นผลทำให้มีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ได้พร้อมของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดระดับรายย่อยในพื้นที่ ได้หันมาใช้วิธีการลักลอบส่งยาเสพติดผ่านทางช่องทางพัสดุภัณฑ์ ผ่านระบบขนส่งทางไปรษณีย์ไทยและบริษัทเอกชนซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดภาครัฐ ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, กอ.รมน. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐและสังคม, บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และผู้ประกอบการภาคเอกชน เข้าร่วมประชุมหารือและขอความร่วมมือ เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทางไปรษณีย์ รวมถึงชี้แจงมาตรการลงโทษทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้เอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. กำชับและให้ผู้ประกอบการเพิ่มความเข้มงวด การปฏิบัติตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 5 (พ. ศ. 2558) โดยในการรับ-ส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ จะต้องบันทึกข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ส่งและผู้รับและการปรับปรุงแก้ไขแอพพลิเคชั่นต้องมีเงื่อนไขในการให้ข้อมูลที่เพียงพอ และให้ทำศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อง่ายในการร้องขอต่อการตรวจสอบ

2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อประสานงานกับผู้ประกอบการโดยให้ทุกสน. / สภ. สำรวจสถานประกอบการที่รับ-ส่งไปรษณียภัณฑ์ในทุกเขตพื้นที่ เพื่อคอยให้คำแนะนำ ฝึกอบรม ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายพร้อมทั้งรับแจ้งเหตุ หากพบหรือสงสัยว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมายให้แจ้งได้ที่หมายเลข 1599, ศูนย์ 191 ทุกจังหวัด และ 1386 สำนักงานป.ป.ส.

3. หากตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการรายใดที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุม เพิกเฉยหรือปล่อยปละละเลยให้มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด สถานประกอบการนั้นอาจถูกสั่งปิดชั่วคราวหรือสั่งพักใช้ใบอนุญาต รวมถึงต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาท

4.การที่ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ให้ปฏิบัติไว้ และมีการส่งยาเสพติดผ่านทางผู้ประกอบการรายเดิมๆ ซ้ำๆ และในทางการสืบสวนขยายผลพบว่าเหตุดังกล่าวเป็นการส่อพฤติกรรมในการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนฯ จะดำเนินคดีตามพ.ร.บ. มาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจรวมถึงการยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ เพื่อตรวจสอบตามพ.ร.บ.มาตรการฯ ส่วนการแก้ไขระยะยาวนั้นจะเป็นการเสนอแก้กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยที่ยังไม่ครอบคลุม

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการกำหนดแนวทางเพื่อวางกฎระเบียบ พร้อมทั้งกำชับผู้ประกอบการให้เพิ่มความเข้มงวด ในการรับ-ส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ซึ่งจะต้องบันทึกข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ส่งและผู้รับ ถึงแม้บริษัทผู้ประกอบการต่างๆ จะมีมาตรการในการตรวจสอบบัตรประชาชน หรือสแกนพัสดุแล้ว แต่ยังมีผู้ประกอบการบางรายกลับอ้างว่า หากเปิดพัสดุของลูกค้าเพื่อตรวจสอบจนทำให้สิ่งของเสียหาย ก็จะถูกผู้ใช้บริการฟ้องร้อง จึงไม่กล้าเปิด ในส่วนนี้จึงทำให้ยังคงมีผู้ลักลอบใช้เป็นช่องทางขนส่งยาเสพติด

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นตัวกลางรับส่งพัสดุ จะอ้างไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ ทั้งที่มีเครื่องมือและวิธีการตรวจสอบอยู่แล้ว อีกทั้งผู้ส่งพัสดุต้องยืนยันให้ชัดเจนว่า สิ่งของที่ส่งไปไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย โดยในวันนี้จะประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและการดำเนินการทางกฎหมายอย่างจริงจังต่อไป

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจะใช้ทุกมาตราการ ทุกข้อกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดโดยใช้บริษัทขนส่งพัสดุเป็นตัวกลางในการกระทำความผิด ซึ่งหากผู้ประกอบการายใดที่ไม่มีมาตรการที่รัดคุม เพิกเฉย หรือ ปล่อยปละละเลย ให้มีการสักลอบขนส่งขนยาเสพติต ก็จะมีมาตราในการเอาผิดต่อไป