ตั้งเป้า 1 เดือนพัฒนาการศึกษาไทย

ตั้งเป้า 1 เดือนพัฒนาการศึกษาไทย

รมว.ศธ. ไฟแรงเร่งแก้ปัญหาการศึกษา เดินหน้าพัฒนาครู สร้างเด็กมีทักษะศตวรรษที่ 21 เตรียมหารือผู้บริหารศธ.จริงจัง นโยบายไหนดีสานต่อ นโยบายไหนไม่ดีต้องปรับปรุงแก้ไข พัฒนาการศึกษาเด็กปฐมวัย ตั้งเป้าทำให้เกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน

วันนี้ (18 ก.ค.2562 ) เวลา 07.49 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เดินทางเข้าทำงานที่ ศธ.วันแรก โดยเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ พระพุทธรูปประจำกระทรวง พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์ศาลพระภูมิ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6)


ต่อจากนั้น นายณัฏฐพล ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของศธ. และหน่วยงานในกำกับของศธ. ซึ่งได้มีผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ได้มามอบดอกไม้ ให้กำลังใจ โดยในบริหารงานของรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่านนั้น ได้มีการแบ่งงานกัน ดังนี้ โดยคุณหญิงกัลยา จะดูแลสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ส่วน นางกนกวรรณ จะรับผิดชอบสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ โดยรมว.ศธ.นั้น จะรับผิดดูแลงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานปลัด ศธ.

รับคณะ รมวรมช_๑๙๐๗๑๘_0060
นายณัฏฐพล กล่าวว่า นโยบายเรื่องการศึกษาไทยมีหลายประเด็นที่ ต้องเร่งดำเนินการให้เป็นวาระเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาคุณภาพครู เพราะเด็กทุกคนที่มีคุณภาพ ล้วนเกิดจากการอบรมสั่งสอนจากครู ดังนั้น ต้องดูว่าจะดำเนินการพัฒนาครูได้อย่างไรบ้าง รวมถึง ต้องมุ่งสร้างเด็กและเยาวชนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 มีความรู้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ซึ่งจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยให้ก้าวกระโดดเทียบเท่าสากล ซึ่งอยากให้ผู้บริหารศธ.ทุกคนได้นำนโยบายเหล่านี้ ไปต่อยอดบูรณาการกับเรื่องที่ทำอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป


“ตอนนี้ ได้มีการกำหนดนโยบายไว้บางแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องขอศึกษาข้อมูลของศธ.ที่มีอยู่ก่อนจากนั้นจะมาดูว่าเราจะสามารถต่อยอดการทำงานด้านการศึกษาได้อย่างไรบ้าง โดยนโยบายในเรื่องใดที่ดีอยู่แล้ว ก็จะส่งเสริมต่อยอด แต่หากนโยบายใดที่ทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จแต่กลับสร้างภาระให้แก่ครูจนมีเรื่องร้องเรียน ก็จะปรับแก้ไข ทั้งนี้ จะฟังเสียงสะท้อนจากเขตพื้นที่และข้าราชการครูเป็นหลัก พร้อมกับดึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนงานการศึกษา เพราะผมมองว่าการศึกษาไทยจะต้องมีการปรับปรุง และทุกภาคส่วนจะต้องเปิดกว้างในการช่วยกันแก้ปัญหาการศึกษา เพื่อให้เราทำงานกันง่ายขึ้นจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผมพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกคน และกล้าตัดสินใจ”รมว.ศธ. กล่าว


ทั้งนี้ การศึกษาไทยมีตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และการศึกษานอกระบบตามอัธยาศัย ซึ่งทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่หากค้นพบศักยภาพเด็กไทยในกลุ่มเด็กเก่งมีทักษะและความสามารถ ต้องสร้างและสนับสนุนให้เด็กเหล่านี้เป็นช้างเผือก เพื่อวางแผนต่อยอดพัฒนา เพราะเด็กกลุ่มนี้จะเป็นผู้นำในอนาคตได้ รวมถึงการพัฒนาการศึกษาเด็กปฐมวัยเป็นเรื่องที่ตนเอง และ รมช.ศธ.ให้ความสำคัญมาก เนื่องจากการศึกษาปฐมวัยเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาการศึกษา นอกจากนี้ ต้องการจะพัฒนาคุณภาพชีวิตครูให้ดียิ่งขึ้นในการสร้างขวัญและกำลังใจ เพื่อให้ครูพร้อมเป็นแม่พิมพ์ของชาติด้วย


นายณัฏฐพล กล่าวต่อว่าจะต้องมีการปรับหลักสูตรการศึกษาต่างๆให้มีความทันสมัยต่อโลกยุคดิจิทัล เพื่อทำให้การเรียนการสอนได้รับการพัฒนาเหมาะสมกับการศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ เรื่องทั้งหมดตั้งเป้าว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน ขณะเดียวกัน ทราบดีว่า ศธ.ได้รับงบประมาณจำนวนมากและเป็นกระทรวงที่ได้รับงบมากที่สุด ซึ่งจะดูในรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณต่างๆของศธ. โดยจะมีทีมงานมืออาชีพด้านการคลังเข้ามาดูแล งบ ศธ.ว่าถูกใช้อย่างคุ้มค่าและถูกต้องหรือไม่ โดยคาดว่าก่อนสิ้นปี 62 จะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จ


รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่าสำหรับเสียงส่วนใหญ่ที่บอกว่า รมว.ศธ.ไม่มีประสบการณ์ด้านการศึกษาจะสามารถทำงานบริหาร ศธ.ได้หรือไม่ ขอให้มั่นใจ เพราะมีประสบการณ์การบริหารงาน พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกส่วน และมีทีมงานมืออาชีพ มีงบประมาณ มีบุคลากร มีผู้ทรงคุณวุฒิ ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมการผลักดันการศึกษาของไทย ดังนั้น การบริหารงานด้านการศึกษา ขอให้เชื่อว่าทำงานการศึกษาได้อย่างแน่นอน

รับคณะ รมวรมช_๑๙๐๗๑๘_0049
คุณหญิงกัลยา กล่าวว่าเรื่องที่สามารถดำเนินการได้ทันที มี 2 เรื่องใหญ่ นั่นคือ 1.วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการเกษตร โดยเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เรื่องการเรียนการด้านเกษตร แก่เด็กที่เรียนในวิทยาลัยอาชีวศึกษาต่างๆ เพื่อยกระดับของการทำเกษตร และเกษตรกรของไทย เป็น Smart Farmer อีกทั้ง ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม 2. เรื่องโค้ดดิ้ง (Coding) ซึ่งเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาสมัยใหม่ ที่เป็นทักษะของโลกในอนาคต และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี ดังนั้น ตามนโยบายของรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายมานั้น ให้ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้น คงไม่ได้เป็นการสอน Coding ทั้งประเทศ แต่จะเป็นการเริ่มในบางโรงเรียน และมีการอบรมครูผู้สอน ขณะนี้มีสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท) เป็นหน่วยงานหลักในการอบรมครูผู้สอน


ทั้งนี้ สำหรับการเรียนการสอน Coding ไม่ได้เป็นการสอนการเขียนโปรแกรม หรือเขียน Coding แต่เป็นการสอนตรรกะ ทำให้เด็กรู้จักการแก้ปัญหา และเรียนได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ จะมีคอมพิวเตอร์ หรือไม่มีก็สามารถเรียนได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะมีทีมงานในการดำเนินการ เพราะถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะให้เด็กอนุบาล -ประถมศึกษา ได้เรียน Coding และเน้นในโรงเรียนต่างจังหวัด เพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการเรียน Coding อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว จะมีการแถลงนโยบายชัดเจนอีกครั้งในวันที่ 25 ก.ค.2562 นี้


นางกนกวรรณ กล่าวว่า แนวทางเบื้องต้นในการทำงาน จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงาน นโยบายต่างๆ ของศธ. ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ได้มีวิสัยทัศน์เดิมอยู่แล้ว คงต้องไปดูในส่วนเดิม และดูว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพให้เกิดมากขึ้น เช่น การจัดการเรียนการสอนของเด็กที่เรียนสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ซึ่งมีเด็กจำนวนมาก และมีการเรียนรู้อาชีพ จะเน้นให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา และทำอย่างไรให้ผู้เรียนมาเรียนมากขึ้น เพราะบางคนลงทะเบียนเรียนไว้ แต่ไม่สะดวกมาเรียน นอกจากนั้นจะมีการส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรด้านวิชาการ และหลักสูตรด้านอาชีพให้แก่เด็ก ประชาชนทั่วไป ได้เรียนรู้ รวมถึงมีการสร้างขวัญกำลังใจแก่ครู กศน.ด้วย ซึ่งเป็นพนักงานของรัฐ และถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ


นอกจากนั้น การเรียนการสอนของอาชีวศึกษา จะพยายามทำให้มีความภาคภูมิในในตนเอง ที่จะไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นมือเปื้อน แต่ต้องมือเปื้อนที่มีประสิทธิภาพ และภาคภูมิใจมากขึ้น อีกทั้งจะมีการส่งเสริมทวิภาคี เพื่อจะได้สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการ โดยจะต้องมีการติดตามและประเมินผล จากผู้ประกอบการทุกพื้นที่ เพื่อให้เด็กได้ศึกษาเรียนรู้ ฝึกงาน และได้เงินเดือนระหว่างเรียนร่วมด้วย รวมทั้ง จะมีการส่งเสริมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด เน้นให้ลูกหลานมีวินัย ทำอย่างไรให้เด็กอยากมีส่วนร่วมในการเป็นพลเมืองที่ทุกคนมีความสุข และมีส่วนร่วม และมีภาคภูมิใจในการเป็น ลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด