กูรูไขกระจ่าง ‘เฟซแอพ’ ละเมิดส่วนตัวหรือไม่

กูรูไขกระจ่าง ‘เฟซแอพ’ ละเมิดส่วนตัวหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญชี้แจง กรณีแอพพลิเคชั่น “เฟซแอพ” (FaceApp) ในสมาร์ทโฟนที่เหล่าเซเลบนำมาเล่นเปลี่ยนหน้าตัวเองให้แก่ว่า เสี่ยงทำให้ผู้ใช้ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวตามที่มีกระแสกังวลหรือไม่

นายวิล สตราฟาช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) การ์เดียนไฟร์วอลล์ บริษัทด้านความปลอดภัยระบบปฏิบัติการในสหรัฐ ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า เฟซแอพที่พัฒนาโดยบริษัทรัสเซีย จะแต่งเฉพาะรูปที่ผู้ใช้เลือกเท่านั้น เหตุที่เกิดความสับสนและกังวลเป็นเพราะไอโฟนจะแสดงรูปทั้งหมดในคลังรูปเพื่อให้ผู้ใช้เลือก ทำให้เข้าใจผิดว่ารูปทั้งหมดไปปรากฏในแอพนี้

"ผู้ใช้สามารถเลือกให้แอพเข้าถึงรูปทั้งหมดในคลังได้ แต่ก็ยังไม่พบว่าแอพนี้อัพโหลดรูปอื่น ๆ ที่ไม่ได้เลือก ส่วนสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ไม่แสดงรูปทั้งหมดในคลังเหมือนไอโฟนของแอ๊ปเปิ้ลจึงไม่เกิดความสับสนและกังวลดังกล่าว"

อย่างไรก็ตาม นายสตราฟาช เสริมว่า รูปที่ผู้ใช้เลือกให้แอพแต่งรูปจะถูกส่งไปยังระบบคลาวด์ เปิดช่องให้ถูกแฮกและขโมยไปใช้งานได้ต่อไป นโยบายความเป็นส่วนตัวของแอพระบุว่า จะนำข้อมูลไปใช้เพื่อการโฆษณาและปรับปรุงฟีเจอร์ใหม่ ๆ จะไม่นำไปขายให้แก่บุคคลที่สาม แต่มีข้อยกเว้นหลายข้อ เช่น สามารถนำข้อมูลไปแบ่งปันหลังจากลบข้อมูลที่ระบุตัวตนผู้ใช้แล้ว

เกิดกระแสกังวลในโลกสื่อสังคมออนไลน์ว่า แอพพลิเคชั่นเฟซแอพที่ใช้แต่งสีและทรงผม อายุ และเพศจะสามารถเห็นแล้วอัพโหลดรูปถ่ายทั้งหมดในสมาร์ทโฟนได้หรือไม่ เพราะบางรูปอาจมีข้อมูลส่วนตัวทางเงิน สุขภาพ หรือข้อมูลของเยาวชน เหมือนกรณีของแอพเล่นเกมทายบุคลิกภาพในเฟซบุ๊คบางแอพที่เก็บข้อมูลผู้ใช้ไปขาย เปิดช่องให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัว

ก่อนหน้านี้ บริษัทเคมบริดจ์ อะนาลิติกาของอังกฤษ นำข้อมูลผู้ใช้เฟซบุ๊คหลายล้านรายไปให้บุคคลที่สามโดยไม่ได้ขออนุญาต แม้ว่าปกติแล้วแอพพลิเคชั่นกระแสหลัก มักเก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างสม่ำเสมออยู่แล้วก็ตาม

ด้านนายชัค ชูเมอร์ วุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตส่งหนังสือถึงสำนักสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) และคณะกรรมาธิการการค้าแห่งชาติว่า กังวลว่า เฟซแอพจะเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน ขอให้ทั้ง 2 หน่วยงานประเมินความเสี่ยงในเรื่องนี้

ขณะที่ไวร์เลสแล็บ บริษัทรัสเซียที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้เผยว่า อาจเก็บรูปของผู้ใช้ไว้ในระบบคลาวด์ แต่ส่วนใหญ่จะลบหลังผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง และไม่มีการส่งต่อข้อมูลไปให้รัสเซีย