พิพาทการค้าญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ทำลายความเชื่อมั่นศก.โลก

พิพาทการค้าญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ทำลายความเชื่อมั่นศก.โลก

นักวิเคราะห์ประเมิน ความขัดแย้งญี่ปุ่น-เกาหลีใต้มีแต่เสียกับเสีย ผสมโรงสงครามการค้าที่สหรัฐกำลังระอุอยู่กับคู่ค้า

สองเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ขัดแย้งกันหลายครั้ง สืบเนื่องจากการกระทำของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่คราวนี้บานปลายมาถึงเรื่องเศรษฐกิจหลายวันก่อนรัฐบาลโตเกียวประกาศควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญไปให้กับอุตสาหกรรมไฮเทคของเกาหลีใต้ โดยอ้างว่ากังวลเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ

วานนี้ (16 ก.ค.) นายไทเมอร์ เบก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากดีบีเอส กรุ๊ป รีเสิร์ช เผยกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำลายความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลก ในช่วงที่สหรัฐกำลังทำสงครามการค้ากับคู่ค้าอยู่แล้ว บริษัททั้งของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ใช้เวลาหลายปีสร้างสมห่วงโซ่อุปทานอันซับซ้อน หากความไว้วางใจระหว่างกันถูกทำลายจะสร้างห่วงโซ่อุปทานขึ้นใหม่ก็ลำบาก สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่มีประโยชน์กับใคร มีแต่เสียกับเสีย

ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้  เป็นผู้ส่งออกชิพและจอสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ข้อพิพาทการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายหากบานปลายไปย่อมเป็นข่าวร้ายต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก และผู้บริโภคที่สุดท้ายแล้วอาจต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าแพงขึ้น

นายทรอย สแตนกาโรน ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มคลังสมอง สถาบันเศรษฐกิจเกาหลีแห่งอเมริกา เป็นอีกคนหนึ่งที่เตือนว่า ราคาเซมิคอนดักเตอร์อาจสูงขึ้นหากญี่ปุ่นควบคุมการส่งออกจนผู้ผลิตโสมขาวต้องลดการผลิต และผลักภาระมาให้ผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คนอื่นๆ กล่าวว่า บริษัทที่ได้รับผลกระทบจะหาทางแก้ปัญหาจากมาตรการของญี่ปุ่น

นายเจสเปอร์ โคล ที่ปรึกษาอาวุโสจากวิสดอมทรี อินเวสต์เมนต์ กล่าวว่ามูลค่าผลผลิตรวมที่ได้รับผลกระทบไม่ถึง 450 ล้านดอลลาร์ หากรัฐบาลโตเกียวออกมาตรการเพิ่มเติมอีก บริษัทคงหาช่องทางดิ้นรน แต่ความเสียหายรวมมีไม่มาก

นายสแตนกาโรนเสริมว่าบริษัทจีนอาจก้าวเข้ามาอุดช่องว่างนี้

“ในช่วงที่สหรัฐกำลังคาใจเรื่องบริษัทเทคโนโลยีจีน ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ก็ขัดแย้งกันเปิดช่องให้บริษัทจีนที่รัฐหนุนหลังได้สถาปนาตนเอง ว่าเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ก้าวหน้าเท่ากับบริษัทผลิตชิพอย่างซัมซุงหรือไมครอน แต่บริษัทจีนก็ได้โอกาสสร้างซัพพลายชดเชยให้ได้ในกรณีที่ตลาดปั่นป่วน”