ไบโอไดเวอร์ซิตี้ คอร์ปอเรชั่น สตาร์ทอัพสายไบโอเทคผู้เชื่อมงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สู่ตลาดโลกด้วยการพัฒนานวัตกรรมน้ำมันสกัดจากแมลงทหารเสือเป็นสารสำคัญในเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน
จากแนวโน้มโปรตีนแมลง ไม่ได้เป็นแค่ กระแส แต่กลับกำลังจะเติบโตอย่างรวดเร็วและมีโอกาสที่จะขยายตัวเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ในอนาคต สังเกตได้จากที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติสนับสนุนการบริโภคแมลงในฐานะเป็นแหล่งโปรตีน และเริ่มมีสตาร์ทอัพเข้ามาทำอาหารจากแมลงมากขึ้นมองว่า โปรตีนจากแมลงเป็น super food และเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกใหม่
สำหรับในไทยการบริโภคแมลงยังไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงไม่มีใครสนใจ ต่อยอดงานวิจัยด้านแมลงอย่างจริงจัง จนกระทั้ง “ชาญณรงค์ แสงเดือน” ชายหนุ่มที่มีลูกบ้า ตัดสินใจโดดเข้ามาศึกษาข้อมูลด้วยตนเองอย่างจริงจัง เพราะเล็งเห็นถึง “โอกาส” ความสำเร็จในอนาคต
“ผมเริ่มจากเจออาจารย์ท่านหนึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับแมลงจึงเกิดความสนใจอยากทำเป็นอาหารสัตว์ จากนั้นเริ่มศึกษาเองโดยทำกรงเล็กๆหาพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์แมลง เฮอร์มิเทีย อิลูเซนส์ หรือแมลงทหารเสือ มาเลี้ยง โดยหาข้อมูลความรู้ที่ลอยอยู่ในอากาศผ่านทางอินเตอร์เน็ต ” ชาญณรงค์ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไบโอไดเวอร์ซิตี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้น
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นทำงานบริษัทโฆษณาในตำแหน่ง อาร์ต ไดเรกเตอร์ จนกระทั่งหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง เริ่มอยากทำธุรกิจเป็นของตนเองและในปี2547 ได้ออกมาลงทุน ผลิตน้ำมันด้วยเทคโนโลยีในการผลิตน้ำมัน จากขยะพลาสติก (Pyrolysis)ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ล้มไม่เป็นท่าจนกลายเป็นหนี้ธนาคารเอสเอ็มอี ถึง 20 ล้านบาท จึงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเขาในการเรียนรู้ที่จะศึกษาข้อมูลด้วยตนเองจนรู้อย่างถ่องแท้แทนที่จะอาศัยจมูกคนอื่นหายใจ
จากการศึกษาข้อมูลเขา พบว่าในตัวอ่อนของแมลงทหารเสือ หากหีบกรดไขมันออกมาจะได้สารสำคัญ 2 ชนิด คือ กรดลอริกที่พบในมะพร้าวและโอเมก้า 3, 6 และ 9 ซึ่งมักพบในปลาทะเลน้ำลึก โดยสารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารที่เป็นที่ต้องการของหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอาหารเสริมและเครื่องสำอาง อาหารสัตว์จึง ‘ไม่ใช่’ แนวทางการต่อยอดที่เกิดประโยชน์สูงสุดที่ควรจะทำเป็นอันดับแรก
“ช่วงนั้นเทรนด์แมลงกำลังมาจึงตัดสินใจทำแต่ฉีกแนวมาพัฒนาให้เป็นสารสกัดที่มีมูลค่าสูงเพื่อต่อยอดในการทำเครื่องสำอาง และอาหารเสริมแทนที่จะทำอาหารสัตว์ เพราะคู่แข่งเยอะมาก”
จากนั้น ชาญณรงค์ ได้ทุนสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ในโครงการแปลงเทคโนโลยีเป็นทุน เพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงและทำสอบกรดไขมัน จนได้คำตอบทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่า มีสารที่สามารถช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ มีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเป็นเครื่องสำอางลดริ้วรอย
ในปี2560 ยังได้ทุนวิจัยในโครงการ Spearhead ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯเพื่อใช้ในการพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับ สารต่างๆหรือโปรตีนที่สามารถสกัดได้จากตัวอ่อนแมลงที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อใช้รองรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, อาหารเสริมและอาหารสัตว์เศรษฐกิจหรือสัตว์เลี้ยงจำนวน 40 ล้านบาท ล่าสุดร่วมทุนกับบริษัทอ่างแก้ว โฮลดิ้ง จำกัดของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เข้ามาถือหุ้น 30% และอีก 30% จะเป็นของบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ PTTGC ที่ผลิตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีที่ได้จากไขมันสัตว์และน้ำมันพืช ที่สามารถนำไปเป็นส่วนประกอบของหลายผลิตภัณฑ์ เช่น เชื้อเพลิงสะอาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ครีม โลชั่น เข้ามาถือหุ้น
"ระหว่างทาง 6 ปีที่ผ่านมา ท้อบ้างแต่ไม่เคยถอย เพราะเชื่อว่า มีโอกาสสำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีสภาพเหมือนหมาจนตรอกทำให้มีแรงฮึด และในการทำงานกับนักวิจัย อาศัยความจริงใจ คุยกันแบบตรงไปตรงมา เพราะต้องการงานวิจัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ใช้ โชคดีที่ทางผู้บริหารและนักวิจัย มช. ทุกคณะที่เกี่ยวข้อง มองเห็นถึงความเป็นไปได้ ในความร่วมมือ ทำให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดคาดว่า สิ้นปีนี้จะมีรายได้50ล้านบาทจากที่ผ่านมาขาดทุนมาตลอด "
จากประสบการณ์ในวงการโฆษณาทำให้ ชาญณรงค์ เริ่มต้นด้วยการเปิดตัว ครีมกระชับ คอ หน้าอกและก้น ในเดือนส.ค.ปีนี้ ผ่านตัวแทนจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ ภายใต้แบรนด์ “โอริกก้า” (Oricga) ตามมาด้วย เซรั่ม ที่มีส่วนผสมของดอกดาวเรืองกับสารฟอสโฟลิพิดจากตัวอ่อนของแมลงทหารเสือ และอาหารเสริมไก่ชน อาหารเสริมเพื่อพัฒนาระบบทางเดินอาหารในลูกไก่ อาหารเสริมลูกปลานิลเพื่อเพิ่มอัตราการรอดและน้ำหนัก
นอกจากนี้ ยังรับจ้างผลิตให้กับบริษัทที่สนใจที่มีสูตรเฉพาะและจำหน่ายสารวัตถุดิบตั้งต้นของผลิตภัณฑ์ความงาม ,อาหารเสริมเพื่อสร้างรายได้และกระจายความเสี่ยงในระหว่างที่ทำตลาดภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง
“แนวทางการทำตลาดหลักการยังคงเหมือนเดิมแต่สมัยนี้มีเครื่องมือในการสื่อสารหลายช่องทางมากขึ้น ซึ่งต้องคิดและนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันให้มากที่สุด”
ชาญณรงค์ ยังวางเป้าหมายในปี 2565 ว่าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอก่อน เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจทั้งในประเทศและจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ ล่าสุดได้จดสิทธิบัตรและตราสินค้าในสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่โดยเฉพาะตลาดเครื่องสำอาง ที่ชาวจีนยอมรับในคุณภาพเครื่องสำอางไทย โดยจะจำหน่ายผ่านพันธมิตรในจีน ส่วนประเทศเกาหลีจะเป็นลักษณะการร่วมทุน กับบริษัท Entomo เลี้ยงแมลงเพื่อผลิตอาหารเลี้ยงสุนัข
“ที่ผ่านมาไบโอเทคโนโลยีในเมืองไทยไม่ได้รับการผลักดันเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่นิยมทำธุรกิจตามกระแสมากกว่าให้ความสำคัญกับพื้นฐานความเป็นไปได้จากสิ่งที่มีอยู่ (ต้นทุน) จึงไม่ยั่งยืน ทั้งที่ไทยยังมีศักยภาพ เพราะมีความหลากหลายทางธรรมชาติมากเป็นอันดับ 7 ในโลกและมีผู้เชี่ยวชาญที่มีองค์ความรู้พอจะช่วยผลักดันเกิดอุตสาหกรรมแมลงในประเทศได้ ไม่แพ้ยุโรป สหรัฐอเมริกา เกาหลี ”
ชาญณรงค์ มองว่า อนาคตประเทศไทยยังมีโอกาสอีกเยอะทั้งผลิตภัณฑ์จากแมลง และพืชพรรณต่างๆที่สามารถพัฒนาเป็นสินค้า จึงเป็นที่มาของชื่อ บริษัทไบโอไดเวอร์ซิตี้ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้จำกัดแต่แมลงเพียงอย่างเดียว
--------------------------------
สูตร“สำเร็จ”สตาร์ทอัพไบโอเทค
- เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ มีข้อมูลรองรับ
- ทีมงานที่มีความรู้หลากหลายสาขา
-จริงใจในการทำงานร่วมกัน
-ฉวยจังหวะ โอกาสที่เข้ามาในชีวิต