พักตัวเพื่อสะสมพลัง

พักตัวเพื่อสะสมพลัง

มีมุมมองเป็นกลางหลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมแล้วยังไม่ผ่าน

ลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับขึ้นทดสอบ High เดิมที่ระดับ 1,748 จุด แต่ยังไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้เนื่องจากเผชิญแรงขายทำกำไร ส่งผลให้ SET เพิ่มขึ้นเพียง 1.02 จุด (+0.06%) ปิดที่ระดับ 1,740 จุด มูลค่าการซื้อขาย 69,148 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,243 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แต่ Net Short TFEX 11,161 สัญญา และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,436 ล้านบาท  

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : เรากลับมามีมุมมองเป็นกลางหลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมแล้วยังไม่ผ่าน ทำให้ภาพการเคลื่อนไหวของ SET ในวันนี้น่าจะเป็นการ Sideway เพื่อสะสมพลังในกรอบ 1,735-1,750 จุดFund flow ต่างชาติไหลเข้าจะยังเป็นปัจจัยหนุนหลักที่ช่วยประคองดัชนี หุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมันและโรงกลั่นน่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากมี Sentiment บวกจากข่าวพายุพัดเข้าอ่าวเม็กซิโกอาจกระทบการผลิตและการกลั่นน้ำมันดิบในสหรัฐ หนุนราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่ม Domestic play ยังเน้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าคือ กลุ่ม ค้าปลีก (CPALL, GLOBAL) ,นิคมฯ (AMATA, WHA, FPT), รับเหมา (CK, STEC, STPI) และ กลุ่มสินค้าเกษตร (STA, NER และ GCAP)

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy เน้นหุ้นงบ 2Q19 ดีเป็นหลัก

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP ,CPF, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • กลุ่มขนส่งทางเรือ (PSL, TTA) อานิสงส์ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุด 1,816 จุด
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)

หุ้นแนะนำวันนี้: PTTEP (ปิด 136 ซื้อ/เป้า 150) ได้ Sentiment บวกราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวแรง งบ 2Q19 เด่นสุดในกลุ่ม ปตท. โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการของ Murphy Oil ในมาเลเซียหนุนปริมาณขายเพิ่มขึ้น 5% ในปีนี้และ 14% ในปีหน้า, AMATA (ปิด 24.5 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 27.4 บาท) ได้ Sentiment บวกจากภาพการเมืองที่ชัดเจน คาดรัฐบาลใหม่เดินหน้า EEC ต่อ ขณะเดียวกันสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังหนุนให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายจากจีนมาไทยเพื่อเลี่ยงปัญหา Trade war มากขึ้น

KSS report วันนี้: CPALL (ปิด 87.75 ซื้อ/เป้า 100), MAKRO (ปิด 39.5 ถือ/เป้า 38)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

(+) ดาวโจนส์พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 27,000 จุด แต่ปัจจัยบวกยังเป็นเรื่องเดิม คือ ตอบรับเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย: ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 228 จุด (+0.85%) ปิดที่ระดับ 27,088 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นต่อท่าทีของเฟด หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ขึ้นกล่าวแถลงนโยบายรอบครึ่งปีต่อรัฐสภาเป็นวันที่ 2 และยังยืนยันจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากปัญหาสงครามการค้า ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม US Bond yield 10 ปีของสหรัฐกลับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.14% หลังจากที่สหรัฐรายงานอัตราเงินเฟ้อ (Core inflation) เดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จาก 2% ในเดือน พ.ค.

(+/-) OPEC ลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบในปีหน้า แต่ราคาน้ำมันดิบลดลงไม่มากเนื่องจากมีข่าวพายุพัดเข้าอ่าวเม็กซิโกช่วยประคองไว้: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 23 เซนต์ ปิดที่ระดับ 60.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นแรงในวันก่อนหน้า ประกอบกับยังมีปัจจัยลบกดดันหลังจาก OPEC ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC ในปีหน้าลงสู่ระดับ 29.27 ล้านบาร์เรล จาก 30.61 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ ขณะที่การผลิตของ OPEC คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 29.83 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้มีภาวะ Over supply ประมาณ 5 แสนบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งยังกังวลกับ Supply น้ำมันดิบของสหรัฐอาจจะลดลงในช่วงสั้น หลังจากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในอ่าวเม็กซิโกทยอยอพยพคนงานและหยุดการผลิตเป็นจำนวน 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนที่จะพัดถล่มอ่าวเม็กซิโกในช่วงสุดสัปดาห์นี้

(+/-) TISCO งบ 2Q19 ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด แต่ NPLs เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนธนาคารอื่นเตรียมประกาศงบในสัปดาห์หน้าโดยรวมยังไม่ดี: วานนี้ TISCO ประกาศกำไรสุทธิ 2Q19 ออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 1,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ทั้ง qoq และ yoy แต่ภาระหนี้ NPLs ขยับขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาส่งผลให้ NPL Ratio สูงขึ้นเป็น 3.2% จาก 3% ใน 1Q19 ปัจจัยนี้อาจเป็นปัจจัยลบกดดันภาพรวมการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งมีกำหนดจะประกาศผลกำไร 2Q19 ทั้งหมดในสัปดาห์หน้าซึ่งส่วนใหญ่ผลกำไรคาดว่าจะออกมาลดลงเมื่อเทียบ yoy โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ใหญ่ อาทิ KBANK, KTB และ SCB