'กุลิศ' ยันแผนพีดีพี 2018 ยึดตามรัฐธรรมนูญ

'กุลิศ' ยันแผนพีดีพี 2018 ยึดตามรัฐธรรมนูญ

“กุลิศ” เตรียมร่างหนังสือส่งให้รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่พิจารณา ก่อนตอบกลับคำวินิจฉัยผู้ตรวจการฯ โดยเร็ว ยันแผนพีดีพี 2018 ยึดตามรัฐธรรมนูญ โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าถือเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไม่รวมโรงไฟฟ้า

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการร่างหนังสือเพื่อตอบกลับไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีส่งหนังสือคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการฯ ต่อกระทรวงพลังงาน ให้ทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (พีดีพี 2018) เพื่อให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 51% โดยหากร่างหนังสือเสร็จแล้ว จะต้องนำเสนอนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ เห็นชอบก่อนส่งกลับไปยังผู้ตรวจการฯต่อไป


เบื้องต้นสำหรับเนื้อหาสำคัญที่กระทรวงพลังงาน เตรียมชี้แจงรายละเอียดต่อผู้ตรวจการฯนั้น จะยึดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นหลัก ที่ระบุว่า สาธารณูปโภคพื้นฐาน หมายถึง ระบบเครือข่าย เช่น ถนน ทางด่วน รางรถไฟ เครือข่ายโทรศัพท์มือถือและสื่อสารไวไฟ และสายส่งไฟฟ้า ซึ่งได้ยกตัวอย่างชัดเจนใน รัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ฉะนั้น ในส่วนของโรงไฟฟ้า ไปจนถึงระบบเดินรถไฟฟ้าสามารถให้เอกชนเป็นเจ้าของได้ และเมื่อสุดท้ายสัมปทานระบบ BOT หมดอายุลง ก็จะกลับคืนไปเป็นของรัฐทั้งหมด


ดังนั้น การที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เป็นเจ้าของโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศเพียงรายเดียว จึงถือว่าเป็นรัฐเป็นผู้ลงทุนในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 51% จากกฎหมายแล้ว อีกทั้งองค์กร กฟผ.เองยังมีสถานะถือเป็นกิจการของรัฐด้วย ส่วนกรณีที่ กฟผ.จะต้องเข้าไปถือหุ้นในกิจการโรงไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 51%นั้น ตามรัฐธรรมนูญไม่ถือว่า โรงไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานอยู่แล้ว


“เรื่องนี้กระทรวงพลังงานจะมีคำตอบส่งกลับไปยังผู้ตรวจการฯในไม่ช้า ไม่ถึง 120 วันแน่นอน ซึ่งหากผู้ตรวจการฯได้รับการชี้แจงแล้วไม่ติดใจ ก็เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะยุติลง และแผนพีดีพี 2018 ก็เดินหน้าต่อ แต่หากผู้ตรวจการฯยังมีข้อสงสัย ก็อาจส่งคำวินิจฉัยฯให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาว่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ซึ่งผู้ที่สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ มีเพียงครม.และผู้ตรวจการเท่านั้น” นายกุลิศ กล่าว