'ณรงค์ชัย' ชี้ใครจะหาประโยชน์จาก 'พลังงาน' ยาก

'ณรงค์ชัย' ชี้ใครจะหาประโยชน์จาก 'พลังงาน' ยาก

"ณรงค์ชัย" อดีตรัฐมนตรีพลังงาน มั่นใจภาคพลังงาน มีกลไกเข้มแข็ง ชี้หากใครจะเข้ามาแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวคงทำได้ยาก

เมื่อวันที่ 10 ก.ค.62 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเชื่อว่าระบบกลไกของภาคพลังงานไทยมีความเข้มแข็งมากเพียงพอที่จะไม่ให้มีกลุ่มใดเข้ามาหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากการเข้ามาบริหารงานในกระทรวงพลังงานได้

ช่วงสองสัปดาห์ก่อนนี้ มีข่าวเรื่องการแย่งชิงตำแหน่งรมว.พลังงาน ในกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยมีการวิจารณ์ในสื่อและวงการต่างๆเหมือนแต่ละคนจะมาหาประโยชน์ส่วนตัวจากงานของกระทรวงพลังงาน ซึ่งตนในฐานะที่เคยเป็นรมว.พลังงาน ยืนยันว่าระบบกลไกต่างๆ ของภาคพลังงานของไทย ได้มีการสร้างกันขึ้นมาหลายสิบปี จนเป็นภาคเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากที่สุดภาคหนึ่งของเศรษฐกิจไทย เป็นที่ยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอาเซียน

"เป็นความจริงที่มีกรณีที่มีผู้มีอำนาจบางคนสร้างประโยชน์ให้ตนเองในบางโอกาสในอดีตและอาจมีอีกในอนาคต แต่ขอเรียนว่าจะทำได้ยาก ถ้าจะทำต้องมีเจตนา และมีความสามารถพิเศษ แต่ถ้าจะทำดี ซึ่งก็คงมีคนอยากทำดี จะทำได้ง่ายกว่า"

นายณรงค์ชัย อธิบายว่า ภาคพลังงานมี 2 ส่วน คือไฟฟ้า และเชื้อเพลิง ซึ่งก็คือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งในวิชาเศรษฐศาสตร์พลังงาน ไม่ว่าชาติใดก็มีเป้าหมายเรื่องพลังงานเหมือนกัน คือจะต้องมี 3A ได้แก่ Available มีไฟฟ้า มีเชื้อเพลิงให้ประชาชนใช้ทุกที่ ทุกเวลา , Affordable ราคาที่ทุกคนในประเทศสามารถซื้อหาได้ และ Acceptable ระบบผลิตและจำหน่ายเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งการสร้าง A ทั้ง 3 แต่ละประเทศจะดำเนินการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นมีพลังงานเหลือใช้(Surplus) หรือไม่พอใช้ (Deficit) โดยไทยเป็นประเทศที่มีพลังงานไม่พอใช้ ทั้งเชื้อเพลิง และไฟฟ้า เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างภาคพลังงานให้เหมาะกับไทย

กระทรวงพลังงานรับผิดชอบทั้งไฟฟ้าและเชื้อเพลิง โดยในส่วนของเชื้อเพลิง ไทยต้องใช้น้ำมันนำเข้าวันละกว่า 1 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาตินำเข้าวันละประมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ราคาซื้อจึงต้องอิงกับราคาตลาดโลก ซึ่งก็อิงกับราคาประกาศที่ Saudi Arabia ราคาขายปลีกก็อ้างอิงจากราคาโรงกลั่นที่สิงคโปร์ ถ้าจะกำหนดให้ราคาต่ำกว่านั้น รัฐบาลก็ต้องอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งก็มาจากประชาชนทั้งประเทศ จึงไม่เป็นธรรม ราคาตลาดจ่ายโดยผู้ใช้เชื้อเพลิง ใครใช้ใครจ่ายเหมาะสมกว่า

การจัดหาเชื้อเพลิงโดย ปตท. (PTT) มีการเปิดเผยโปร่งใส เพราะเป็นบริษัทมหาชน ราคาขายปลีก จะรวมภาษีและค่าต่างๆ ขึ้นอยู่กับนโยบาย อีกนโยบายหนึ่งก็คือ เสถียรภาพของราคา โดยการใช้การเก็บ การจ่ายเงินเข้าหรือออกจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งบางระยะติดลบ บางระยะก็เป็นบวก เวลามีการปรับเปลี่ยนราคา ปตท.และ บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) จะเป็นผู้นำในการประกาศราคาขายปลีก โดยน้ำมันเจ้าอื่นก็จะปรับเปลี่ยนราคาตาม
การสำรวจ การให้สัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ก็จะมีการวิจารณ์กันว่าจะมีการแสวงหาประโยชน์ แต่ประเทศไทยไม่มีหรือมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติน้อย ดูได้จากการที่แทบจะไม่มีบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลกอยู่ในประเทศไทยเลย มีเพียง Chevron ซึ่งก็คงจะเป็นบริษัทสุดท้าย เมื่ออายุสัมปทานยังไม่หมด

"สรุปคือ ภาคเชื้อเพลิงของไทยเข้มแข็งดีแล้ว ใครจะมาทำให้เสียได้ยาก ที่สำคัญคือเคยมีขบวนการจะตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ คงจะมาแทนปตท. อันนี้เสียหายแน่ ท่านประชาชนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ไม่ให้มีใคร หรือคณะบุคคลใดมาสร้างขึ้นมา"

นายณรงค์ชัย กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องไฟฟ้า มีนโยบายให้เอกชนมาร่วมผลิตนานแล้ว โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)เป็นหลัก กฟผ.เองก็ไปตั้งบริษัทไฟฟ้าเอกชน เช่น บริษัทราช กรุ๊ป (RATCH) และบริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) มีการให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้า เริ่มจากนิคมอุตสาหกรรม เพราะตอนนั้นกฟผ.ผลิตไฟฟ้าไม่ได้มากพอ และนิคมฯก็ต้องใช้ทั้งไฟฟ้าและไอน้ำ โรงไฟฟ้าเลยผลิตทั้ง 2 อย่าง เรียกว่าระบบโคเจนเนอเรชั่น ต่อมาก็มีการอนุญาตให้เอกชนผลิตมากขึ้น ทั้งการใช้เชื้อเพลิงปกติ และที่เป็นพลังงานทดแทน รวมถึงโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP)

การจะอนุญาตให้เอกชนผลิตไฟฟ้า ไทยก็มีระบบตั้งแต่การกำหนดแผนการผลิตไฟฟ้าระยะยาว โดยกพช. การออกใบอนุญาตการผลิต ก็จะมีกกพ. ซึ่งเป็นองค์กรกึ่งอิสระ คือเป็น Regulator กำกับราคาที่เอกชนจะขายให้ภาครัฐที่เป็นผู้ซื้อไฟฟ้า ซึ่งราคานี้จะต่างกัน จากแหล่งผลิตที่ต่างกัน กกพ.จะนำมาเฉลี่ยโดยการถ่วงน้ำหนักและออกมาเป็นค่าไฟฟ้า ที่คนไทยทั้งประเทศใช้ราคาเดียวกัน ค่าไฟที่ถูกสุด เมื่อระบบที่มี Regulator เป็นแบบนี้ ใครจะหาประโยชน์ส่วนตัวจากการให้ใบอนุญาต ถึงแม้อาจจะยังทำได้แต่ก็เชื่อว่าไม่ง่ายนัก

นอกจากนี้กระทรวงพลังงานยังมีอีกกองทุนหนึ่ง เรียกว่ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่กระทรวงบริหารอยู่ กองทุนนี้มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมจากน้ำมัน ส่วนมากรายได้แต่ละปีก็ประมาณ 9,000 ล้านบาท รายจ่ายใช้ไปช่วยหน่วยงานต่างๆ อนุรักษ์พลังงาน เช่นเปลี่ยนระบบเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนหลอดไฟเป็น LED จัดพลังงานทดแทนให้ชุมชนต่างๆ งบประมาณเคยเป็นประมาณ 7,000 ล้านบาท ตอนหลังเพิ่มอีกจากโครงการไทยนิยม โดยใช้เงินสะสม การอนุมัติโครงการก็มีระบบ มีกรรมการ มีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กระทรวงพลังงานจะทำเองไม่ได้ ดังนั้นใครจะหาเสียงโดยเอาโครงการต่าง ๆ มาขอเงินแม้ยังอาจทำได้ แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน

อดีตรมว.พลังงาน สรุปว่าระบบการบริหารจัดการภาคพลังงานไทยจัดไว้ดี มี Regulator คือ กกพ. แยกกับงานนโยบายและบริการ มีกรรมการต่างๆ ทำงาน ที่กระทรวงพลังงานก็มีกบง. ที่จะตัดสินใจทำอะไร เสนออะไร ก็มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ มาร่วมประชุม ร่วมตัดสินใจ และยังต้องไปถึงระดับรัฐบาลคือ กพช. จึงน่าจะทำให้ประชาชนชาวไทย มีความเชื่อมั่นในภาคพลังงานพอสมควร แต่ก็ยังต้องคอยเฝ้าระวัง คอยร้องเรียนเมื่อเห็นเหตุการณ์ใด ที่ส่อไปในทางการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าจะโดยนักการเมืองหรือข้าราชการ หรือผู้บริหารรัฐวิสาหกิจก็ตาม

ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี