เลือกเล่นรายตัว

เลือกเล่นรายตัว

มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัว 1,730 – 1,745 จุด

ลาดหุ้นวานนี้: SET Index ปรับตัวขึ้นปิด +6.28 จุด (+0.36%) ที่ระดับ 1,738 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นสวนทางกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่อ่อนตัวลงจากความคาดหวังรัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงกลางเดือนก.ค. ส่งผลให้มีแรงซื้อในกลุ่ม PROP, CONS และ FOOD นำดัชนี ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งซื้อสุทธิ 135 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,939ล้านบาท และ Net Short TFEX 1,893 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัว 1,730 – 1,745 จุด เนื่องจากภาวะตลาดยังคงได้ Sentiment บวกจากทิศทาง Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ตามคาดการณ์ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุม 30 – 31 ก.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการชะลอตัวลงทั้งการจ้างงานภาคเอกชน คำสั่งซื้อภาคโรงงาน ดัชนีภาคบริการ รวมถึงการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม Preview ผลประกอบการ 2Q19 ของกลุ่มหลัก เช่น ธนาคาร และพลังงาน ที่คาดว่าจะทรงตัว-อ่อนตัวลง รวมถึงภาวะ Overbought ตามสัญญาณเทคนิคจะเป็นตัวถ่วงให้ดัชนีอ่อนตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP ,CPF, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR)
  • กลุ่มขนส่งทางเรือ (PSL, TTA) อานิสงส์ค่าระวางเรือปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุด 1,549 จุด
  • กลุ่มนิคมฯและรับเหมา ได้อานิสงส์ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตฯมาบตาพุดระยะที่ 3  (AMATA, WHA ,STEC, SEAFCO, CK)

หุ้นแนะนำวันนี้: CPF (ปิด 29 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 31) ราคาหมูและราคาไก่ในประเทศปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 36 เดือน และ 21 เดือนในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่เรามอง Cycle ขาขึ้นรอบนี้จะยาวนานกว่าในอดีต เนื่องจากได้ผลบวกจากการแพร่ระบาดของโรคอะหิวาต์แอฟริกาในจีน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลกำไรกลุ่มธุรกิจเกษตรใน 2Q19 และจะโตต่อเนื่องใน 3Q19 เนื่องจากเป็น high season ของธุรกิจ เรายังเลือก CPF เป็น Top pick ของกลุ่ม, KKP (ปิด 71 ซื้อ/IAA Consensus เป้า 80 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO (2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7% ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว

KSS report วันนี้: QH (ปิด 3.08 ปรับเป็นถือ/เป้าใหม่ 3.3 เดิม 3.5)

ประเด็นสำคัญวันนี้:

  • (+) ดาวโจนส์พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมยังซบเซา: ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 179 จุด (+0.67%) ปิดที่ระดับ 26,966 จุด เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากสหรัฐรายงานข้อมูลในตลาดแรงงานค่อนข้างซบเซาโดยเฉพาะการจ้างงานของภาคเอกชนของสหรัฐในเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 102,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ตลาดคาด เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมในช่วงวันที่ 30-31 ก.ค.นี้
  • (+) น้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัว ตอบรับสหรัฐรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 : ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.09 ดอลลาร์ (+1.9%) ปิดที่ระดับ 57.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจาก EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 นอกจากนี้ตลาดยังคาดว่าสหรัฐจะรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบลดลงอีกอย่างน้อย 5 แท่น สู่ระดับ 788 แท่น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • (+) Bond yield 10 ปี ของสหรัฐร่วงต่ำกว่าระดับ 2% คาดหนุนเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไทยและหุ้น High yield เพิ่มมากขึ้น : ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 1.95% ต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และลดลงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2% ปัจจัยนี้จะดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ รวมถึง Assets class ที่ให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกับพันธบัตร อาทิ หุ้นที่ให้ปันผลสูง (Property fund, Infrastructure fund, REIT และหุ้น High Dividend คือ LPN, TISCO, KKP, QH, MC, ADVANC, และ INTUCH)  และหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคที่รายได้มั่นคง และ ให้ปันผลสม่ำเสมอ อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า, รถไฟฟ้า และน้ำประปา