ลุ้นหุ้นไทยวันนี้ยืนแดนบวก

ลุ้นหุ้นไทยวันนี้ยืนแดนบวก

บล.กรุงศรี คาดตลาดหุ้นวันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,725–1,740 จุด โดยตลาดยังคงได้ sentiment เชิงบวกจากความคาดหวังผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนในช่วงการประชุม G20 สามารถบรรลุข้อตกลงได้ และแรงหนุนกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นใกล้ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ระบุว่า วานนี้ (27 มิ.ย.) SET Index ปรับตัวขึ้นปิดบวก 9.43 จุด (+0.55%) ที่ระดับ 1,732 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.9 หมื่นล้านบาท จากความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในการประชุม G20 ช่วงสุดสัปดาห์นี้จะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ ประกอบกับแรงซื้อกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากกว่าคาด ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งซื้อสุทธิ 3,780 ล้านบาท และ Net Long TFEX 4,025 สัญญา แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,619 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (28 มิ.ย.) มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,725–1,740 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะยังคงได้ sentiment เชิงบวกจากความคาดหวังผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในช่วงการประชุม G20 จะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ (โดยเราคาดว่าจะออกในรูปแบบยืดเวลาการเก็บภาษีรอบใหม่ออกไปเพื่อเจรจาเงื่อนไขกันอีกครั้ง) รวมถึงแรงหนุนจากกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ 60 US/Barrel จากคาดการณ์ผลการประชุมกลุ่มในและนอกโอเปกวันที่ 1 – 2 ก.ค.จะขยายเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปจนถึงสิ้นปี

อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากสัญญาณทางเทคนิคที่เข้าเขต Overbougth รวมถึงอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงการการประชุม G20 จะเป็นตัวถ่วงให้ดัชนีผันผวนได้

กลยุทธ์การลงทุน Selective Buy กลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT, TOP, PTTGC) อานิสงส์ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นแรงยืนเหนือ 59 US/Barrel กลุ่มที่ได้ประโยชน์หากการเจรจา Trade war สหรัฐ-จีนคืบหน้า (KCE, HANA, PSL) กลุ่มนิคมฯและรับเหมา ได้อานิสงส์ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตฯมาบตาพุดระยะที่ 3  (AMATA, WHA ,STEC, SEAFCO, CK) กลุ่ม Domestic Play  (AOT, TTW, CPALL, BEM, BTS, BDMS, EA, BGRIM, TPCH , GPSC)

ด้านหุ้นแนะนำวันนี้ EA (ปิด 55.75 ซื้อ/เป้า 63) โดดเด่นในทุกธุรกิจ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และพลังงานลมคาดกำไรสุทธิทำ New high ต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมโครงการหนุมานกำลังการผลิตรวม 260MW ซึ่งเริ่ม COD ตั้งแต่ 1Q19 แต่จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสตั้งแต่ 2Q19, 2) ธุรกิจไบโอดีเซลได้อานิสงส์ภาครัฐส่งเสริมการใช้ B10 และ B20 จากเดิม B7 และ 3) ธุรกิจแบตเตอร์รี่และรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ราคาหุ้นยัง Laggard จากหุ้นในกลุ่มเมื่อเทียบกันในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา, KKP (ปิด 69.25 ซื้อ/เป้า 72 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว