“แอสเซทไวส์" จี้ปลดล็อคแอลทีวี หลังยอดโอนไตรมาสสองทรุด

“แอสเซทไวส์" จี้ปลดล็อคแอลทีวี หลังยอดโอนไตรมาสสองทรุด

“แอสเซทไวส์” จี้แบงก์ชาติปลดล็อคแอลทีวี กระตุ้นตลาดอสังหาฯ หลังไตรมาส 2 ยอดโอนลด 20% ลุ้นสิ้นปีนี้สามารถการรักษาเป้ายอดรับรู้รายได้ไม่ให้ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท พร้อมประกาศเลื่อนเข้าตลาดไปเป็นปีหน้า

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัทแอทเซสไวส์ จำกัด กล่าวว่า มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่บังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ส่งผลกระทบตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมค่อนข้างมากจึงอยากให้ทบทวนดูว่าสิ่งที่ธปท.กังวลเรื่องการเก็งกำไรได้ลดลงหรือไม่ หากลดลงแล้วควรผ่อนเกณฑ์ หรือยกเลิกมาตรการดังกล่าว ให้คนที่ต้องการบ้านหลังที่สอง สามารถผ่อนดาวน์ 10% เช่นเดิม 

ขณะเดียวกัน ให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อชาวต่างชาติได้ตามเกณฑ์การพิจารณาที่เหมาะสม เพื่อขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อระบายสต็อกในสัดส่วนชาวต่างชาติ ในช่วงเวลาที่กำลังซื้อคนไทยอ่อนแรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯได้อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้เนื่องจาก 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) ในส่วนของบริษัทพบว่ายอดโอนลดลง 20% จากที่ตั้งเป้าไว้ 1,000 ล้านบาท ส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในสัดส่วน 10-20% สำหรับครึ่งปีหลังคาดว่าจะมียอดการรับรู้รายได้จากโครงการ 2-3 โครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จ ได้แก่ แอทโมซ แอลาดพร้าว71 ,รัชดาห้วยขวาง และลาดพร้าว15  ขณะที่ยอดรีเซลหรือยอดขายครึ่งปีหลังน่าจะมีโอกาสกลับมาอีกครั้งจากความมั่นคงทางการเมืองหากรัฐบาลสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้เร็ว เร่งทำงาน

“อยากให้รัฐบาลมองมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง เสริมเข้ามาด้วยเพื่อกระตุ้นปากท้องชาวบ้าน เพราะตลาดอสังหาฯเป็นเรื่องของบรรยากาศและอารมณ์ซื้อ หากคนมีความรู้สึกมั่นใจ จะมีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น”

นายกรมเชษฐ์ ยังกล่าวถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังว่า ในไตรมาสสามมีแผนจะเปิดตัวโครงการ “โมดิซ” (MODIZ) บางโพ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ใกล้รัฐสภาแห่งใหม่ ติดแนวรถไฟฟ้าโซนบางซี่อ บางโพ ราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาท ขนาด 25 ตรม.เฉลี่ย ราคา130,000 บาทต่อตรม. มีจำนวน 235 ยูนิต เป็นคอนโดสูง 26 ชั้น ที่ทำเล ติดรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวจะเปิดปี2563

“กลุ่มเป้าหมายจะเป็นลูกค้าที่มีรายได้ 50,000-1500,000 บาทต่อเดือน ห้องละ3 ล้านบาท ราคาแพงสุดเท่าที่เคยทำคอนโด แต่ถือว่าถูกมากในเซกเมนต์นี้ ” 

นอกจากนี้จะเปิดโครงการ “ไอโวรี่” (IVORY) เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise อยู่ซอยรัชดาภิเษก 32 บนพื้นที่กว่า 600 ตารางวา มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท และโครงการ “เคฟ ทียู” (KAVE TU) Thammasat มีจำนวน 1,016 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,940 ล้านบาทเปิดพรีเซล เดือนก.ย. นี้

ส่วนไตรมาส 4 จะเป็นโครงการร่วมทุนโครงการภูริปุรี ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกับบริษัท บ้านภูริปุรี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมหรูราคา 7-10 ล้านบาท ย่านลาดพร้าว ด้วยการก่อตั้งบริษัท เอบีเจวี จำกัด ขึ้นมา ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยแอทเซสไวส์ฯ ถือหุ้น51% และบ้านภูริปุรีฯ ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ย่านพัฒนาการ 32 และซอยภาวนา ลาดพร้าว

อย่างไรก็ตามจากการที่ราคาที่ดินพุ่งสูงการทำโครงการแนวราบ (บ้าน ทาวน์เฮ้าส์) ไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายวงกว้าง ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ราคาที่จับต้องได้ สำหรับแนวราบไม่ควรเกิน 5 ล้านบาท เพราะราคาที่ดินปัจจุบันทำได้ยากส่งผลให้คอนโดยังคงเป็นตัวเลือกที่จับต้องได้ ในระดับราคา1.5-3 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนในกลุ่มนี้ของบริษัทมีอยู่70% ที่เหลือเป็นระดับราคาเกิน 3 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 70% ระดับราคาสูงสุดของเราอยู่ที่ 7 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า แผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะเลื่อนไปยื่นไฟลิ่ง (ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้น) ในต้นปี 2563 เนื่องจากสภาพตลาดไม่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ การเมือง คาดว่าแนวโน้มปี 2563 เศรษฐกิจน่าจะสดใสขึ้น เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งน่าจะเกิน 1ปี เนื่องจากการที่รัฐบาลชุดใหม่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปริ่มน้ำ ต้องระมัดระวังขึ้นไม่ประมาทในการทำงาน เพราะถ้ายุบรัฐบาลเลือกตั้งใหม่จะเกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้ามาอีกไหม แต่คิดว่ารัฐบาลน่าจะสานต่อนโยบายเดิมที่วางไว้แล้วโดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ให้เกิดความต่อเนื่อง และทำให้เสร็จเพื่อโชว์ผลงาน

“ในส่วนบริษัทตั้งเป้าเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นเฟสสองของบริษัทเพื่อทำให้ธุรกิจมั่นคง หลังจากนั้นจะมองหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆที่ทำให้ธุรกิจหลักมั่นคง โดยยังโฟกัสที่อสังหาฯ เพราะบริษัทมีจุดเด่นในการเลือกทำเล และทำสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถการรักษาเป้ายอดรับรู้รายได้ไม่ให้ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทจากปี2561 มียอดการรับรู้รายได้ 4,200 ล้านบาท”