เจาะยุทธศาสตร์ “คอปเปอร์ไวร์ด” จัดทัพ“สินค้าดิจิทัล ไลฟ์สไตล์”3พันล.

เจาะยุทธศาสตร์ “คอปเปอร์ไวร์ด” จัดทัพ“สินค้าดิจิทัล ไลฟ์สไตล์”3พันล.

คอปเปอร์ไวร์ดไม่ใช่ mass ถ้าเราดูพีรามิด กลุ่มสินค้าของเราจะอยู่ยอดพีรามิดเสมอ

ไลฟ์สไตล์ “ดิจิทัล” ที่เปลี่ยนไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นร่วมสมัยที่ชื่นชอบสินค้าไฮเทค ดันให้ตลาด สมาร์ท ดีไวซ์ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้ตลาดสมาร์ทโฟนจะดูเหมือนว่าเริ่มถึงจุดอิ่มตัว หากยังเป็นตัวเดินเรื่องสำคัญในอีโคซิสเต็มส์นี้ เพราะกำลังกลายเป็น “ฮับ” หรือสะพานเชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะอีกมากมายหลายประเภท

กรุงเทพธุรกิจ สัมภาษณ์พิเศษ "ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) รายใหญ่ “ดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ รีเทล” ของไทย ที่เก็บรายได้เข้ากระเป๋าไปมากกว่า 3 พันล้านบาท ขณะที่ ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยยุทธศาสตร์โตก้าวกระโดดจากรีเทลธรรมดาสู่ "ดิจิทัล รีเทล แพลตฟอร์ม" ที่มีระบบบริหารจัดการครบวงจร ครอบคลุมร้านค้าในเครือ 39 แห่งทั่วมุมเมือง แบ่งเป็นไอสตูดิโอ 14 สาขา ดอทไลฟ์ 20 สาขา และศูนย์บริการซ่อมบำรุงแอ๊ปเปิ้ล หรือ ไอเซิร์ฟ (iServe)5 ศูนย์

"วิชั่นของผม คือ คอปเปอร์ไวร์ด จะเป็น ดิจิทัล รีเทล แพลตฟอร์ม ที่พร้อมทั้งทีมงาน ระบบทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน รองรับรีเทล โอเปอเรชั่น ที่พร้อมขยายธุรกิจ ได้ทั้งในแนวนอน แนวตั้ง แนวนอน คือ ขยายร้านค้าที่เรามีอยู่แล้ว หรือแนวตั้ง คือ เปิดร้านขายใหม่ขึ้นมาเลยซึ่งอยู่ในแผน จากสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว ประกอบด้วย แอ๊ปเปิ้ล แบรนด์ ช้อป (ไอสตูดิโอ) , ไอบีท ,ดอทไลฟ์ และธุรกิจดิสทริบิวเตอร์สินค้าไลฟ์สไตล์ไอทีที่ยังไม่มีหน้าร้านอย่าง “โคแอน”

แอ๊ปเปิ้ลยังเป็นตลาดหลัก

ปรเมศร์ บอกว่า ปัจจุบัน กลุ่มสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในบริษัท คือ กลุ่ม ดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ที่กระจายอยู่ในร้านค้าหลักในเครือ ทั้งไอสตูดิโอ และดอทไลฟ์ ซึ่งจะมีความต่างกันในไลน์ของสินค้า ไอสตูดิโอ ถือเป็นนัมเบอร์วันของคอปเปอร์ไวร์ด ที่ขายไอโฟนเครื่องละประมาณ 3-4 หมื่นบาท ขณะที่ ดอทไลฟ์ เน้นขายสมาร์ท ดีไวซ์ หรืออุปกรณ์อย่าง โดรน หรือสินค้าดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ ซึ่งมีระดับราคาที่ต่ำกว่า

คอปเปอร์ไวร์ด ยังโฟกัสบิซิเนสของแอ๊ปเปิ้ลเป็นหลักผ่านร้านไอสตูดิโอ ส่วนดอทไลฟ์ ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ เป็นธุรกิจของคอปเปอร์ไวร์ดเอง ที่มีแผนจะขยายไลน์สินค้าเพิ่มเติมในอนาคต เน้นสินค้าที่มีดีไซน์ผนวกกับเทคโนโลยี

“คอปเปอร์ฯ ไม่ใช่ mass ถ้าเราดูพีรามิด กลุ่มสินค้าของเราจะอยู่ยอดพีรามิดเสมอ” ปรเมศร์ ย้ำและบอกว่า ถ้ากำหนดอายุกลุ่มเป้าหมายจะมีตั้งแต่ 20-50 ปี หรือกลุ่มที่สามารถใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แทบเล็ต เป็นกลุ่มคนที่ชอบบริโภคของไฮเทค กำลังซื้อระดับปานกลางถึงสูง การศึกษาดี

“ชูความต่าง-เอ็ดดูเคท”

นอกจากเป็นรีเทลสินค้าดิจิทัล ไลฟ์สไตล์แล้ว ปีนี้คอปเปอร์ไวร์ด ยังให้ความสำคัญมากขึ้นกับกลุ่มสินค้านำเข้าภายใต้ บริษัทโคแอน เป็นลักษณะดิสทริบิวเตอร์ ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตดี ยอดขายราว 300-400 ล้านบาท เน้นสินค้า นิว เทรนด์ ปัจจุบันมีมากกว่า 140 แบรนด์ ซึ่งสินค้าในโคแอนก็จะส่งต่อไปยังรีเทลในเครือของคอปเปอร์ไวร์ดด้วยเช่นกัน

"จุดต่างของเรา คือ ไลน์สินค้าของคอปเปอร์ฯ ต่างจากรายอื่น โดยเฉพาะดอทไลฟ์ เราสร้างให้มันเป็น type ใหม่ของรีเทลด้านไอที มีประเภทสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ ดิจิทัล ลิฟวิ่ง เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี และดีไซน์ เป็นตลาดเจาะเฉพาะกลุ่มซึ่งเติบโตสูง ผมว่า ธุรกิจที่เราทำยังอยู่แค่ตีนเขา มีโอกาสเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเทคโนโลยีที่เอื้อทั้ง 4จี 5จี ความนิยมสมาร์ทโฟน ทุกอย่างกำลังเป็นสมาร์ท ดีไวซ์ นำไปไปสู่ สมาร์ทโฮม สมาร์ทซิตี้ ระบบเอไอ ตลาดมันใหญ่มากแม้ยังไม่โตระดับปีละ 100% แต่มี potential โตถึง 100% ถ้าตลาดมันบูมเต็มที่ ขณะที่ สมาร์ทโฟนจะกลายเป็นฮับ หรือเป็นเซ็นเตอร์พร้อมเชื่อมต่อกับสมาร์ท ดีไวซ์ต่างๆ ได้"

ปรเมศร์ บอกว่า จุดเด่นของคอปเปอร์ไวร์ด คือ ความพยายามในการเอ็ดดูเคท (educate) ลูกค้า สร้างพื้นฐานการใช้งานอย่างถูกต้องผ่านพนักงานที่ถูกเทรนมาอย่างเข้มข้น

"เรื่อง productivity ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ลูกค้าซื้อสินค้าไป ต้องใช้งานเป็น ถ้าเราวางพื้นฐานให้ลูกค้าแบบนี้แล้ว โอกาสที่ลูกค้าจะโตขึ้นไปมันมีเยอะมาก เพราะเมื่อลูกค้ารู้ว่า จะใช้โทรศัพท์ไปคอนเนคกับคาร์ ได้อย่างไร คอนเนคกับโฮมได้อย่างไร ลูกค้าบริโภคพวกนี้อย่างถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่ผมบอกพนักงาน คือ ลูกค้าจะซื้อหรือไม่ซื้อ เราไม่แคร์ แต่การที่ลูกค้า walk out ออกไปแล้วเขามีความสุข ผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอันดับ 1 ที่เราแคร์ เราต้องตอบปัญหาลูกค้าได้”

สมาร์ทโฮม-เมดิคัล ดีไวซ์โตแรง

ซีอีโอ คอปเปอร์ไวร์ด บอกว่า การแข่งขันของร้านค้าประเภทดิจิทัล ไลฟ์ไตล์ จะแข่งขันกันที่ โปรดักส์ ไลน์ ความน่าสนใจของสินค้า การเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี และต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ เขายกตัวอย่างว่า สินค้าในร้านดอทไลฟ์ ที่มียอดขายมากที่สุด คือ สินค้าเกี่ยวกับ สมาร์ทโฮม สมาร์ทแอพพลายอันซ์ สมาร์ทออฟฟิศ เติบโตเร็วมากในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เทคโนโลยีมาแรง สมาร์ทโฟนเทคโนโลยีดีขึ้น การเชื่อมต่อเร็วขึ้น

"สมาร์ทโฮม ดีไวซ์ เติบโตเร็วที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มเฮลธ์ สมาร์ทวอทช์ และเมดิคัล ดีไวซ์ เช่น เครื่องวัดความดัน เทคโนโลยีกลุ่มนี้ไปไกลมาก ตอนนี้เรามอนิเตอร์สุขภาพของเราเองได้แล้ว รวมถึงงกลุ่มที่มีระบบเซ็นเซอร์อยู่ในเสื้อผ้าก็เป็นแนวโน้มที่กำลังมา ผมมองว่า กลุ่มเฮลธ์ และเวล บีอิง จะเติบโตได้เร็วในอนาคต”

ขณะที่ภาพรวมสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือนอิ่มตัว แต่ ปรเมศร์ มองว่า เป็นปรากกฏการณ์ปกติเหมือนยุคเปลี่ยนจากพีซี มาเป็น โน้ตบุ๊ค และแทบเล็ต

"คือจะให้สมาร์ทโฟนโตไปเรื่อยๆ มันไม่เมคเซนส์ มันต้องดรอปลง ซึ่งเป็นปกติ ตอนไอแพดออกมา ทำยอดสูงทะยานฟ้า หลังจากนั้นก็ร่วงอย่างรวดเร็ว แต่สมาร์ทโฟน ผมมองว่ายังมีอะไรที่แอดวานซ์พอที่จูงใจให้คนเปลี่ยน ยังมีความตื่นเต้นอยู่มากในตลาดสมาร์ทโฟนเมืองไทย"

ปรเมศร์ บอกว่า ถึงวันนี้ให้สมาร์ทโฟนอิิ่มตัวแค่ไหน ก็ยังเป็นสินค้าที่ขายได้เร็วมากกว่าสินค้าประเภทไลฟ์สไตล์อยู่ดี

เน้นคุณภาพ ไม่เน้นโวลุ่ม

สำหรับแนวคิดการขยายสาขา สไตล์ของคอปเปอร์ไวร์ด ไม่คิดเรื่องโวลุ่ม แต่จะเน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก

"ผมคิดว่า รีเทล ถ้าเยอะไปมันจะเฟือ ความเสี่ยงสูง มันต้อง sizable ได้ ถ้ากลุ่มลูกค้าโตเราต้องโตตามกลุ่มลูกค้า ตอนนี้ดอทไลฟ์กระจายไปตามหัวเมืองต่างๆ หมดแล้ว หาดใหญ่ กูเก็ต อุดร ระยอง พัทยา ฯ ในกรุงเทพก็มีเกือบทุกย่านสำคัญ ปีนี้คงขยายต่อ ดอทไลฟ์ เราอยากขยายเพิ่มขึ้นอีกภายใน 2-3 ปีนี้ โลเคชั่นหลักๆ ยังอยู่ในห้างสรรพสินค้า เพราะเป็นจุดที่ดึงกลุ่มคนได้มากที่สุด"

ขณะที่ไอสตูดิโอมี status ที่ดีอยู่แล้ว ไม่ขยายเพิ่มแบบรวดเร็ว แต่จะขยายไปในโลเคชั่นที่ยังมีให้ขยายได้ การลงทุนขยายร้านมีตั้งแต่ 10-15 ล้านบาทแล้วแต่พื้นที่ของร้าน

"ร้านไอสตูดิโอ ต้องมีขั้นตอนจากแอ๊ปเปิ้ลด้วย สินค้าที่เป็นตระกูลแอ๊ปเปิ้ลทั้งหมดยังได้รับความนิยม ฐานแฟนคลับในไทยยังแน่น ถ้าดูเป็นรีเทลเราน่าจะเป็นท็อป 2 ในตลาด"

ไม่หวั่น “จีน” แรง

ส่วนกระแสสมาร์ทโฟนจีนนั้น “ปรเมศร์” บอกเพียงว่า เขาเชื่อว่าแอ๊ปเปิ้ลยังมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้ใช้อยู่อีกมาก เป็นจุดที่ทำให้แอ๊ปเปิ้ลแตกต่างจากเจ้าอื่น

"คือ ไอโฟนไม่ใช่แค่กล้อง มันเป็นเทคโนโลยี มีทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ combine ผมมองว่าแอ๊ปเปิ้ลชัดเจน และยังเป็นบริษัทที่แข็งแรง ตรงนี้ให้ความมั่นใจได้"

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงเรื่องสงครามการค้าระหว่าง จีน และสหรัฐ ปรเมศร์ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

“ผมตอบไม่ได้นะสำหรับเรื่องนี้ ผมมั่นใจมากๆ ว่า แอ๊ปเปิ้ลยังมีความแตกต่างอยู่เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นอย่างเห็นได้ชัด”

ขณะที่ เขาเชื่อว่า สภาพเศรษฐกิจอาจไม่ได้กระทบมากนักกับการทำธุรกิจในสไตล์ของคอเปอร์ไวร์ด “ผมมั่นใจกับธุรกิจนี้มากๆ เลยนะ สิ่งที่สร้างความมั่นใจ คือ ถ้าเราทำบริษัทไม่ให้ sensitive กับการเปลี่ยนแปลง ผมว่าจะเป็นบริษัทที่อยู่รอดได้ ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีเป็นเวลาที่เราต้องปรับปรุงบริษัทให้ดีที่สุด เพื่อเตรียมรับในช่วงขาขึ้น" ปรเมศร์ ทิ้งท้าย