ลุ้นหุ้นไทยวันนี้ยืนแดนบวก

บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ระบุว่า วานนี้ (6 มิ.ย.)  SET Index ปิดบวก 4.95 จุด (+0.30%) ที่ 1,653 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาวะตลาดยังคงได้แรงหนุนจาก FED ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยและอาจใช้ QE อีกครั้ง ประกอบกับคาดหวังรัฐบาลใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวจากผลกระทบ Trade war อย่างไรก็ตามดัชนีถูกแรงขายทำกำไรระยะสั้นกดดันให้ปิดบวกเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,048 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 5,510 ล้านบาท อีกทั้ง Net Long TFEX 4,037 สัญญา

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (7 มิ.ย.) มุมมองเป็นกลาง-บวกคาด SET Index ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,655 – 1,660 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว โดยภาวะตลาดได้ปัจจัยบวกจากสหรัฐอาจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเม็กซิโกในอัตรา 5% ออกไปจากกำหนดเดิม (10 มิ.ย.) เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังเดินหน้าเจรจากันอยู่ ส่งผลให้ความตึงเครียดภาวะ Trade war ผ่อนคลายลงและหนุนให้ราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน

นอกจากนี้ ECB มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0% จนถึงครึ่งปีหน้า ประกอบกับความคาดหวังรัฐบาลชุดใหม่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงการลงทุนโครงการภาครัฐต่างๆจะช่วยหนุนต่อความมั่นใจของนักลงทุน อย่างไรก็ตามควรระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่จะกดดันหลังดัชนีรีบาวด์ขึ้นราว 3% จากช่วงพักตัวในปลายเดือนพ.ค.

ด้าน กลยุทธ์การลงทุน : Selective Buy กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะการเมืองชัดเจน (AMATA, WHA, STEC, CK) กลุ่ม Domestic Play  (AOT, TTW, CPALL, BEM, BTS, BDMS , EA , BGRIM ) หุ้นที่คาดว่าจะได้เข้าคำนวณ SET 50 รอบใหม่ (OSP, SAWAD) ส่วน SET 100 (OSP, JAS, JMT, ITD)

หุ้นแนะนำวันนี้ CPALL (ปิด 81.75 ซื้อ/เป้า 88) หากดูจากสถิติย้อนหลังกลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีสุดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง เราเลือก CPALL เป็น Top pick ของกลุ่ม SSSG ยังเป็นบวกคาดปีนี้ +3% อีกทั้งการขยายสาขายังเป็นไปตามแผนตั้งเป้าที่ 700 สาขาต่อปี, JMT (ปิด 16.2 ซื้อ/เป้า Consensus 17) หนึ่งตัวเต็งที่จะได้รับเข้าคำนวณใน SET100 รอบใหม่ ด้านผลประกอบการกำไรสุทธิในปีนี้จะยังพุ่งทำ All time high ได้ในทุกไตรมาสจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี