แสนสิริ ปั้นคอมมูนิตี้‘สีเขียว’ นำร่องที่ดินรอพัฒนา 11 ไร่

แสนสิริ ปั้นคอมมูนิตี้‘สีเขียว’ นำร่องที่ดินรอพัฒนา 11 ไร่

พื้นที่สีเขียวถือเป็นหนึ่งใน ‘ดัชนี’สำคัญในการชี้วัดความน่าอยู่ของเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่เมือง ‘น่าอยู่’ ทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียว ให้เมืองมีชีวิตชีวา

จากธรรมชาติที่ยั่งยืนสำหรับผู้คน แต่การมีพื้นที่สีเขียว‘ไม่ใช่’เรื่องง่ายสำหรับพื้นที่ในเมืองใหญ่ที่มีราคายากจะหนีพ้นน้ำฝีมือของนักพัฒนาที่ดินไปได้ ดูเหมือนจะเป็น‘ผู้ร้าย’ ในสายตาของผู้คน

แสนสิริ ’ ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ พลิกเกมด้วยการโชว์วิสัยทัศน์ในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน ทั้งในด้าน ‘ลด’การใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการสานต่อพันธกิจและนโยบายเพื่อความยั่งยืนภายใต้ชื่อ แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” สู่โมเดล The Future of a Sustainable City

โดยการเปิดตัว ‘แสนสิริ แบคยาร์ด’ เพื่อคอมมูนิตี้สีเขียวในเมือง ที่สะท้อนการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน เพื่อโลก เพื่อเรา หลังประสบความสำเร็จจากการสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างการรับรู้ของพนักงานในองค์กร นำร่อง ที่ส่งเสริมให้พนักงานปลูกต้นไม้บนโต๊ะทำงานด้วยการมอบ Table Farm Kits เพื่อกระะตุ้นให้เกิด ดีเอ็นเอ’ สีเขียวภายในองค์กร จากนั้นขยายผลต่อไปยัง แสนสิริ แบคยาร์ด @ แสนสิริ โปรเจค ด้วยการเปลี่ยนพื้นที่ เหลือใช้ใน 20 โครงการ ทั้งแนวราบและแนวสูงของแสนสิริให้เป็น ประโยชน์แก่ลูกบ้านแสนสิริด้วยการปลูก ผักปลอดสารเพื่อให้เกิดพื้นที่สีเขียวแห่งการเรียนรู้แนวคิดคุณภาพชีวิตที่ดี

ของการกินดีอยู่ดีทั้งทางกายและใจตามหลัก ‘well-being’ จนได้รับการสนับสนุนจากลูกบ้าน ด้วยการแจกจ่ายให้กับลูกบ้าน

ล่าสุดต่อยอดไปยัง แสนสิริ แบคยาร์ด @T77 และ แสนสิริ แบคยาร์ด @Hua Hin ด้วยการนำ ที่ดินเปล่า’ ซึ่งอยู่ระหว่างการรอการพัฒนาโครงการ โดยที่แสนสิริ แบคยาร์ด @T77 จะเป็นคอนโดมิเนียมใหม่แบรนด์ HAUS (เฮาส์) ที่มีขนาดรวมกัน 11 ไร่ บนสุขุมวิท77 จะปลูกพืชผักสวนครัว และอีก 3 ไร่ที่หัวหิน จะปลูกเมล่อน และนำไปจำหน่าย เพื่อนำเงินที่ได้ไปให้กับมูลนิธิที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือผลผลิตบางส่วนจะนำไปให้กับโรงเรียนบริเวณใกล้เคียง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเปิดกว้างให้กับเด็กๆหรือผู้ที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วม

“เราต้องการสร้างให้เป็นคอมมูนิตี้สีเขียวใกล้ชิดธรรมชาติที่อบอุ่นเป็นกันเองเหมือนสวนหลังบ้านที่เปิดกว้างให้ทุกคนในเมืองสามารถสัมผัสการใช้ชีวิตแบบยั่งยืนที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตรักษ์โลก และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ และหัวหินเป็นเมืองแห่งอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในอนาคต” จริยา จันทร์เจิดศักดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเจตนารมณ์

ที่มีแนวคิดมาจาก 3Gs คือ 1. Green การสร้างประโยชน์จากพื้นที่ว่างไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อยู่กลางแจ้งหรือในอาคาร อยู่บนอาคารสูงหรือบ้าน ให้เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อให้คนเมืองใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น 2.Grow ปลูกผักและผลไม้ในรูปแบบฟาร์มผักบนพื้นที่ว่าง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยสุขภาพกาย สุขภาพใจ จาการทานผลผลิตจากธรรมชาติที่สดใหม่ มีคุณภาพ ปลอดสารพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังปลูกความเป็นคอมมูนิตี้แบบยั่งยืนในเมืองใหญ่ด้วยการเปิดโอกาสให้พนักงาน ลูกบ้าน ชุมชนใกล้เคียงและผู้ที่สนใจได้ใช้เวลาร่วมกันใน

การปลูกผัก และ3. Give คือผลผลิตบางส่วนที่ได้จากแสนสิริ แบคยาร์ด จะแบ่งปันต่อไปยังครอบครัวแสนสิริในโครงการที่มี แสนสิริ แบคยาร์ด, โรงเรียนรอบข้างพื้นที่เพื่อสร้างสังคมเมืองแห่งการแบ่งปันและส่งเสริมให้เด็กๆได้รับประทานพืชผักคุณภาพ, ชุมชนข้างเคียงและคนทั่วไปที่ต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ดีแบบ well-being นอกจากนั้น ผลผลิตบางส่วนที่เราจัดจำหน่ายจะนำรายได้ปันกลับคืนสู่สังคมด้วย และในอนาคตมีแผนที่จะนำผลผลิตปลอดสารนี้ไปใช้ที่สิริ เฮาส์ และโรงแรมเอสเคป หัวหินและเขาใหญ่

“ โครงการนี้ถ้าคิดในเชิงธุรกิจไม่คุ้มค่า แต่ได้ผลทางจิตใจมากกว่าความคุ้มค่า แต่คงไม่มีผลทำให้โครงการขายได้ แต่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและรับรู้กับคนทั่วไปว่าให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพราะคนรุ่นใหม่อินกับเรื่องเหล่านี้ เพราะต้องการทำให้โลกดีขึ้น ถือเป็นการเซตมาตรฐานใหม่เกิดขึ้นกับวงการอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เป็นการเพื่อแก้เกมเรื่องภาษีที่ดิน ”

โครงการแสนสิริ แบคยาร์ด ถือเป็นการต่อยอดจาก แสนสิริ กรีน โมเดล ที่เป็นการสร้าง คอมมูนิตี้สีเขียวให้เกิดขึ้นในเมือง สร้างมาตรฐานอาหารที่ปลอดภัยจากการปลูกแบบอินทรีย์กระจายไปยังคนที่อยู่ในเมือง และสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตรักษ์โลก และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้โลกเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต